เที่ยวชมประวัติศาสตร์และธรรมชาติของไอซึ และนิอิกะตะ 3 วัน 2 คืน
เริ่มต้น
วันที่ 1
นาโนะคะมะชิโดริ【เมืองอะอิซุวะคะมัตสึจิ】
เดินท่ามกลางอาคารบ้านเรือนย้อนยุค
ถนนนานุกะมาจิยาว 700 เมตรตั้งแต่ “สถานี JR นานุกะมาจิ” ถึง “ถนนโนกุจิฮิเดโยะเซชุน” ที่นี่เรียงรายไปด้วยอาคารสไตล์ย้อนยุคในสมัยศตวรรษที่ 20 จึงทำให้รู้สึกเหมือนกับย้อนเวลาทันทีที่เหยียบย่างเข้าไป
ถนนมีร้านจำหน่ายสินค้าศิลปหัตถกรรมดั้งเดิมอย่างภาพวาดบนเทียน เครื่องเคลือบไอซุและผ้าฝ้ายไอซุตั้งเรียงรายอยู่มากมาย คุณจึงจะได้เพลิดเพลินกับการเดินชมเมืองระหว่างสัมผัสวัฒนธรรมดั้งเดิมของไอซุ สถาปัตยกรรมรูปแบบต่างๆ นั้นเต็มไปด้วยจุดน่าชม! จึงไม่ควรพลาดมาค่อยๆ ใช้เวลาสัมผัสกับบรรยากาศของเมืองกันให้ได้ มีอาหารอย่างขนมญี่ปุ่น (วากาชิ) โรงเหล้าสาเก และอื่นๆ อยู่ครบครันจนลังเลเลือกไม่ถูกกันเลยทีเดียว ดังนั้นการเลือกของฝากก็จะให้ความสนุกสนานได้อย่างไม่ต้องสงสัย แล้วรถบัสวนรอบเมืองชื่อ “ไฮคาระซัง” ก็จะมาช่วยเสริมบรรยากาศย้อนยุคของเมืองให้มากขึ้นอีกขั้น
ไม่ใช่แค่ร้านค้าหน้าตาเก๋ไก๋เท่านั้น แต่ยังมีสถานที่ที่เกี่ยวพันกับชินเซ็นกุมิกระจัดกระจายอยู่ตามที่ต่างๆ ด้วย เช่น “วัดอามิดะจิ” ซึ่งเป็นที่ตั้งหลุมศพของไซโต ฮาจิเมะ “ร่องรอยเรียวกังชิมิซุยะ” ซึ่งฮิจิคาตะ โทชิโซเคยมาเข้าพัก และ “พิพิธภัณฑ์ชินเซ็นกุมิไอซุ” ดังนั้นลองมาเดินเล่นพลางหวนนึกถึงช่วงเวลาในสมัยนั้นกันค่ะ
“เอคิคาเฟ่” ที่ตั้งอยู่ในอาคารสถานีนานุกะมาจินี้เป็นร้านจำหน่ายสินค้าของเขตเทศบาล 17 แห่งในภูมิภาคไอซุ คุณจะรู้สึกมีความสุขเมื่อถูกรายล้อมไปด้วยสินค้าจิปาถะน่ารักๆ ทั้งยังอยากแนะนำให้พักผ่อนหย่อนใจในบริเวณคาเฟ่ด้วยค่ะ
ถนนมีร้านจำหน่ายสินค้าศิลปหัตถกรรมดั้งเดิมอย่างภาพวาดบนเทียน เครื่องเคลือบไอซุและผ้าฝ้ายไอซุตั้งเรียงรายอยู่มากมาย คุณจึงจะได้เพลิดเพลินกับการเดินชมเมืองระหว่างสัมผัสวัฒนธรรมดั้งเดิมของไอซุ สถาปัตยกรรมรูปแบบต่างๆ นั้นเต็มไปด้วยจุดน่าชม! จึงไม่ควรพลาดมาค่อยๆ ใช้เวลาสัมผัสกับบรรยากาศของเมืองกันให้ได้ มีอาหารอย่างขนมญี่ปุ่น (วากาชิ) โรงเหล้าสาเก และอื่นๆ อยู่ครบครันจนลังเลเลือกไม่ถูกกันเลยทีเดียว ดังนั้นการเลือกของฝากก็จะให้ความสนุกสนานได้อย่างไม่ต้องสงสัย แล้วรถบัสวนรอบเมืองชื่อ “ไฮคาระซัง” ก็จะมาช่วยเสริมบรรยากาศย้อนยุคของเมืองให้มากขึ้นอีกขั้น
ไม่ใช่แค่ร้านค้าหน้าตาเก๋ไก๋เท่านั้น แต่ยังมีสถานที่ที่เกี่ยวพันกับชินเซ็นกุมิกระจัดกระจายอยู่ตามที่ต่างๆ ด้วย เช่น “วัดอามิดะจิ” ซึ่งเป็นที่ตั้งหลุมศพของไซโต ฮาจิเมะ “ร่องรอยเรียวกังชิมิซุยะ” ซึ่งฮิจิคาตะ โทชิโซเคยมาเข้าพัก และ “พิพิธภัณฑ์ชินเซ็นกุมิไอซุ” ดังนั้นลองมาเดินเล่นพลางหวนนึกถึงช่วงเวลาในสมัยนั้นกันค่ะ
“เอคิคาเฟ่” ที่ตั้งอยู่ในอาคารสถานีนานุกะมาจินี้เป็นร้านจำหน่ายสินค้าของเขตเทศบาล 17 แห่งในภูมิภาคไอซุ คุณจะรู้สึกมีความสุขเมื่อถูกรายล้อมไปด้วยสินค้าจิปาถะน่ารักๆ ทั้งยังอยากแนะนำให้พักผ่อนหย่อนใจในบริเวณคาเฟ่ด้วยค่ะ
ทานอาหารกลางวันในเมืองไอซึวะกะมะสึ
คัทสึด้งซอสไอซุ
จานเด็ดประจำภูมิภาคไอซุที่นิยมกันมาตั้งแต่สมัยไทโช คัตสึด้งที่นี่จะต่างจากคัตสึด้งทั่วไปที่โปะไข่ด้านบน คัทสึด้งซอสไอซุจะใช้กะหล่ำหั่นฝอยโปะบนข้าว จากนั้นก็นำทงคัตสึ (หมูชุบแป้งทอด) คลุกซอสหวานเผ็ดวางลงไป ได้ปริมาณแบบเต็มๆ หมูชุบแป้งทอดกรอบและกะหล่ำกรุบๆ รสชาติเข้ากันได้ดีกับข้าวราดซอส เป็นเมนูที่สายเน้นปริมาณห้ามพลาด
ค้นหาร้านอาหาร
ค้นหาร้านอาหาร
โอะอุจิจุคุ
ชมสภาพของญี่ปุ่นในสมัยวันวานอันแสนสุขได้ที่นี่
หมู่บ้านโออุจิจูคุเป็นเมืองสำหรับพักแรมระหว่างทาง เปิดเมื่อประมาณศตวรรษที่ 17 และได้รับเลือกให้เป็นกลุ่มอาคารที่สำคัญทางด้านวัฒนธรรมของประเทศญี่ปุ่น จากถนนที่เรียงรายไปด้วยบ้านหลังคามุงจาก คุณจะสัมผัสได้ถึงบรรยากาศในยุคสมัยเอโดะ และยังมีพื้นที่จัดแสดงเครื่องมือเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันและเตาไฟที่บ่งบอกถึงประเพณีในสมัยนั้น ให้คุณรู้สึกเหมือนได้ย้อนอดีตกลับไปในยุคนั้น
เมื่อเดินไปตามถนนสายหลัก จะพบกับประตูโทริอิของศาลเจ้าทาคาคุระ ผู้พิทักษ์หมู่บ้าน หากคุณเดินผ่านประตูโทริอินั้นไป คุณจะพบกับพื้นที่ที่เงียบสงบสำหรับการเดินเตร็ดเตร่ หากคุณขึ้นบันไดของศาลเจ้าที่ลาดสูงขึ้นไป คุณจะพบกับจุดชมวิวที่สามารถมองลงมาเห็นหมู่บ้านโออุจิจูคุได้
มีร้านขายของที่ระลึกและร้านอาหารหลายร้านตั้งเรียงราย และในบรรดาอาหารเหล่านั้นจะมูเมนู "เนงิโซบะ" ซึ่งใช้ต้นหอมญี่ปุ่นในการรับประทานแทนการใช้ตะเกียบ จะเป็นเมนูที่มีดีทั้งรสชาติและรูปถ่ายที่ถ่ายออกมาด้วย นอกจากนี้ยังมีอาหารอื่นๆ ได้แก่ "โทจิโมจิ" ซึ่งทำจากผลเกาลัดม้าญี่ปุ่นผสมกับข้าวเหนียว และ "ชิงโกโร่” ที่มีเอกลักษณ์อยู่ที่หน้าตาที่คล้ายกับขนมดังโงะซึ่งปรุงด้วยจูเน็นมิโสะ (มิโสะงาขี้ม้อน) และอื่นๆ ซึ่งการเดินไปชิมไปก็ถือเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมสนุกเช่นกัน
นอกจากนี้ยังอยู่ใกล้กับจุดชมวิว "หน้าผาหินโทโนะเฮทสึริ" ซึ่งถูกกำหนดให้เป็นอนุสรณ์สถานทางธรรมชาติของประเทศญี่ปุ่น จึงอยากแนะนำให้ท่านแวะมาเยี่ยมชมไปพร้อมๆ กัน
เมื่อเดินไปตามถนนสายหลัก จะพบกับประตูโทริอิของศาลเจ้าทาคาคุระ ผู้พิทักษ์หมู่บ้าน หากคุณเดินผ่านประตูโทริอินั้นไป คุณจะพบกับพื้นที่ที่เงียบสงบสำหรับการเดินเตร็ดเตร่ หากคุณขึ้นบันไดของศาลเจ้าที่ลาดสูงขึ้นไป คุณจะพบกับจุดชมวิวที่สามารถมองลงมาเห็นหมู่บ้านโออุจิจูคุได้
มีร้านขายของที่ระลึกและร้านอาหารหลายร้านตั้งเรียงราย และในบรรดาอาหารเหล่านั้นจะมูเมนู "เนงิโซบะ" ซึ่งใช้ต้นหอมญี่ปุ่นในการรับประทานแทนการใช้ตะเกียบ จะเป็นเมนูที่มีดีทั้งรสชาติและรูปถ่ายที่ถ่ายออกมาด้วย นอกจากนี้ยังมีอาหารอื่นๆ ได้แก่ "โทจิโมจิ" ซึ่งทำจากผลเกาลัดม้าญี่ปุ่นผสมกับข้าวเหนียว และ "ชิงโกโร่” ที่มีเอกลักษณ์อยู่ที่หน้าตาที่คล้ายกับขนมดังโงะซึ่งปรุงด้วยจูเน็นมิโสะ (มิโสะงาขี้ม้อน) และอื่นๆ ซึ่งการเดินไปชิมไปก็ถือเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมสนุกเช่นกัน
นอกจากนี้ยังอยู่ใกล้กับจุดชมวิว "หน้าผาหินโทโนะเฮทสึริ" ซึ่งถูกกำหนดให้เป็นอนุสรณ์สถานทางธรรมชาติของประเทศญี่ปุ่น จึงอยากแนะนำให้ท่านแวะมาเยี่ยมชมไปพร้อมๆ กัน
ฮิงาชิยามะออนเช็น【เมืองไอซึคาวะมัตสึ】
สถานที่พักผ่อนของ “เมืองแห่งซามูไร ไอซุวะคะมัตสึ”
ฮิกะชิยะมะออนเซ็นเป็นที่รู้จักในฐานะหนึ่งในสามออนเซ็นดังแห่งโออุ ร่วมกับคะมิโนะยะมะออนเซ็นและยุโนะฮะมะออนเซ็นในจังหวัดยะมะกะตะ ที่นี่เป็นออนเซ็นที่มีธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ให้สัมผัสได้ทั้งสี่ฤดู ไม่ว่าจะเป็นซากุระในฤดูใบไม้ผลิ ใบไม้เขียวขจีในต้นฤดูร้อน ใบไม้เปลี่ยนสีในฤดูใบไม้ร่วง และการแช่น้ำร้อนชมหิมะในฤดูหนาว แถมยังเดินทางง่ายเพียงขับรถจากใจกลางเมืองไอซุวะคะมัตสึ 10 นาที เลียบแม่น้ำมีที่พักตั้งเรียงรายและยังมีร้านปาเป้ากับน้ำตกเล็กๆ มาช่วยให้บรรยากาศแบบเมืองออนเซ็นสมัยก่อน
กล่าวกันว่าน้ำพุร้อนของฮิกะชิยะมะออนเซ็นค้นพบโดยพระสงฆ์ชื่อดังนามว่าเกียวคิในศตวรรษที่ 8 และมีเอกลักษณ์ตรงเป็นน้ำพุร้อนซัลเฟตสัมผัสลื่น ทั้งยังกล่าวกันว่าจะช่วยเรื่องโรครูมาตอยด์ ความดันโลหิตสูง โรคผิวหนัง และอื่นๆ น้ำพุร้อนที่ร้อนไม่จัดจะช่วยให้อบอุ่นไปจนถึงภายในของร่างกาย ฮิจิคาตะ โทชิโซแห่งชินเซ็นกุมิเคยมารักษาบาดแผลในช่วงสงครามโบชินปี 1868 แล้วยังเป็นออนเซ็นที่เคยมีนักประพันธ์กับศิลปินอย่างโยะซะโนะ อะคิโกะ และยุเมจิ ทาเคฮิสะมาเยือนด้วย
มีสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมตั้งอยู่ใกล้ๆ ด้วย เช่น ปราสาทสึรุกะ คฤหาสน์ซามูไรไอซุ ทั้งยังแนะนำให้ใช้เป็นจุดเริ่มต้นของการท่องเที่ยวไอซุวะคะมัตสึซึ่งเรียกกันว่าเมืองแห่งซามูไร
กล่าวกันว่าน้ำพุร้อนของฮิกะชิยะมะออนเซ็นค้นพบโดยพระสงฆ์ชื่อดังนามว่าเกียวคิในศตวรรษที่ 8 และมีเอกลักษณ์ตรงเป็นน้ำพุร้อนซัลเฟตสัมผัสลื่น ทั้งยังกล่าวกันว่าจะช่วยเรื่องโรครูมาตอยด์ ความดันโลหิตสูง โรคผิวหนัง และอื่นๆ น้ำพุร้อนที่ร้อนไม่จัดจะช่วยให้อบอุ่นไปจนถึงภายในของร่างกาย ฮิจิคาตะ โทชิโซแห่งชินเซ็นกุมิเคยมารักษาบาดแผลในช่วงสงครามโบชินปี 1868 แล้วยังเป็นออนเซ็นที่เคยมีนักประพันธ์กับศิลปินอย่างโยะซะโนะ อะคิโกะ และยุเมจิ ทาเคฮิสะมาเยือนด้วย
มีสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมตั้งอยู่ใกล้ๆ ด้วย เช่น ปราสาทสึรุกะ คฤหาสน์ซามูไรไอซุ ทั้งยังแนะนำให้ใช้เป็นจุดเริ่มต้นของการท่องเที่ยวไอซุวะคะมัตสึซึ่งเรียกกันว่าเมืองแห่งซามูไร
วันที่ 2
ทานอาหารกลางวันในเมืองคิตะคะตะ
ราเมงคิตะคะตะ
ราเมงนี้ถือกำเนิดขึ้นที่เมืองคิตะคะตะ จังหวัดฟุคุชิมะ มีร้านขายในเมืองกว่า 120 ร้าน คนท้องถิ่นที่นี่ชอบราเมงมาก ถึงขนาดมีวัฒนธรรมทานราเมงเป็นอาหารเช้า เรียกว่า ""ราเมงเช้า"" ซุปโชยุใส เส้นหยักอ้วนแบน และหมูชาชูเนื้อนุ่มโปะเต็มจานของแต่ละร้านก็มีรสชาติไม่เหมือนกัน
ค้นหาร้านอาหาร
ค้นหาร้านอาหาร
พิพิธภัณฑ์วัฒนธรรมนอร์ทเทิร์น Northern Culture Museum
คฤหาสน์ของเกษตรกรผู้มั่งคั่งและมีอิทธิพลอันเต็มไปด้วยความงามของนิอิกะตะ สถาปัตยกรรม สวน และงานศิลป์
อนุรักษ์และเปิดให้บุคคลทั่วไปได้เข้าชมอดีตคฤหาสน์ของเจ้าของที่ดินในเอะจิโกะ คฤหาสน์อันหรูหรางดงามจนทำให้คุณแทบจะลืมหายใจนี้ใช้เวลาสร้างนานถึง 8 ปี ภายในอาณาเขตกว้างใหญ่ถึง 8,800 สึโบะ (0.03 ตารางกิโลเมตร) มีสิ่งก่อสร้างต่างๆ เช่น อาคารหลักสำหรับอยู่อาศัย ห้องจัดเลี้ยง ห้องชงชา และโกดัง รวมถึงสวนแบบจิเซนไคยูชิคิ (สวนที่มีสระน้ำใหญ่อยู่ตรงกลาง) ซึ่งออกแบบโดยนักจัดสวนชื่อดัง แถมยังสามารถชมคอลเลกชันผลงานศิลปะที่รวบรวมโดยเจ้าของบ้านหลายต่อหลายรุ่นได้อีกด้วย
ในสวนกลางมีดอกวิสทีเรียที่แผ่กิ่งก้านสาขามาจากต้นไม้เพียงต้นเดียว ดอกไม้สีม่วงอ่อนจะผลิบานส่งกลิ่นหอมในช่วงปลายเดือนเมษายนถึงต้นเดือนพฤษภาคมเป็นประจำทุกปี สวนในเดือนพฤศจิกายนจะถูกแต่งแต้มสีสันด้วยใบไม้เปลี่ยนสีราวกับยกภูเขาสวยที่เต็มไปด้วยใบไม้เปลี่ยนสีมาตั้ง ไม่ควรพลาดชมสีสันของสวนแบบจิเซนไคยูชิคิที่มองเห็นจากห้องจัดเลี้ยงขนาด 100 เสื่อ ในช่วงเหมาะกับการชมดอกวิสทีเรียและใบไม้เปลี่ยนสีจะมีการประดับไฟเพื่อสร้างให้เกิดบรรยากาศน่าอัศจรรย์ ที่นี่บรรยากาศดีทั้งสี่ฤดูและมาเพลิดเพลินได้เสมอ เพราะนอกจากดอกวิสทีเรียกับใบไม้เปลี่ยนสีซึ่งเป็นที่นิยมแล้ว ยังมีซากุระในฤดูใบไม้ผลิ ดอกบัวในฤดูร้อน และหิมะในฤดูหนาวด้วย
ทั้งยังมีร้านต่างๆ อย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็นร้านจำหน่ายสินค้าของฝาก ร้านกาแฟ ร้านอาหาร (ต้องจอง) หรือที่พัก (ต้องจอง) เป็นต้น จึงอยากเชิญคุณมาค่อยๆ ดื่มด่ำกับบรรยากาศที่อัดแน่นไปด้วยประวัติศาสตร์และความงามของนิอิกะตะ
ในสวนกลางมีดอกวิสทีเรียที่แผ่กิ่งก้านสาขามาจากต้นไม้เพียงต้นเดียว ดอกไม้สีม่วงอ่อนจะผลิบานส่งกลิ่นหอมในช่วงปลายเดือนเมษายนถึงต้นเดือนพฤษภาคมเป็นประจำทุกปี สวนในเดือนพฤศจิกายนจะถูกแต่งแต้มสีสันด้วยใบไม้เปลี่ยนสีราวกับยกภูเขาสวยที่เต็มไปด้วยใบไม้เปลี่ยนสีมาตั้ง ไม่ควรพลาดชมสีสันของสวนแบบจิเซนไคยูชิคิที่มองเห็นจากห้องจัดเลี้ยงขนาด 100 เสื่อ ในช่วงเหมาะกับการชมดอกวิสทีเรียและใบไม้เปลี่ยนสีจะมีการประดับไฟเพื่อสร้างให้เกิดบรรยากาศน่าอัศจรรย์ ที่นี่บรรยากาศดีทั้งสี่ฤดูและมาเพลิดเพลินได้เสมอ เพราะนอกจากดอกวิสทีเรียกับใบไม้เปลี่ยนสีซึ่งเป็นที่นิยมแล้ว ยังมีซากุระในฤดูใบไม้ผลิ ดอกบัวในฤดูร้อน และหิมะในฤดูหนาวด้วย
ทั้งยังมีร้านต่างๆ อย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็นร้านจำหน่ายสินค้าของฝาก ร้านกาแฟ ร้านอาหาร (ต้องจอง) หรือที่พัก (ต้องจอง) เป็นต้น จึงอยากเชิญคุณมาค่อยๆ ดื่มด่ำกับบรรยากาศที่อัดแน่นไปด้วยประวัติศาสตร์และความงามของนิอิกะตะ
Toki Messe
ศูนย์ประชุมอเนกประสงค์ที่ตั้งอยู่ริมฝั่งน้ำ
โทคิเมซเซะเป็นศูนย์ประชุมอเนกประสงค์ที่ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำชินาโนะที่ไหลลงสู่ทะเลญี่ปุ่นภาพเงาของตึกที่จินตนาการมาจากเรือนั้นจะสะท้อนอยู่บนผิวน้ำอย่างสวยงามและรังสรรค์ให้เกิดทิวทัศน์เมืองขนาดใหญ่ที่ได้รับการขัดเกลาจนมีความงดงาม
เป็นศูนย์ประชุมอเนกประสงค์ชั้นนำของประเทศที่มีห้องจัดนิทรรศการแบบมาตรฐาน ห้องประชุมขนาดใหญ่และเล็ก 13 ห้อง รวมถึงโรงแรมเอาไว้อย่างครบถ้วน จึงสามารถจัดงานประชุม งานเลี้ยง และพักค้างแรมได้อย่างราบรื่นภายในอาคารแห่งเดียว
“ห้องชมวิว Befco Bakauke” บนชั้น 31 ของอาคารบันไดจิมะ โทคิเมซเซะนั้นอยู่บนความสูงประมาณ 125 เมตรเหนือพื้นดินซึ่งสูงที่สุดในฝั่งทะเลญี่ปุ่น สามารถชมวิวแบบพาโนรามา 360 องศาของตัวเมืองนิอิกะตะ ทะเลญี่ปุ่น เกาะสะโดะ และทิวเขาโกซุได้ฟรี
สามารถรับข้อมูลท่องเที่ยวนิอิกะตะและแผ่นพับ ฯลฯ ได้จากเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ อย่าลืมลองมาใช้ที่นี่เป็นจุดเริ่มต้นเพื่อไปท่องเที่ยวที่ต่างๆ กันให้ได้ค่ะ
เป็นศูนย์ประชุมอเนกประสงค์ชั้นนำของประเทศที่มีห้องจัดนิทรรศการแบบมาตรฐาน ห้องประชุมขนาดใหญ่และเล็ก 13 ห้อง รวมถึงโรงแรมเอาไว้อย่างครบถ้วน จึงสามารถจัดงานประชุม งานเลี้ยง และพักค้างแรมได้อย่างราบรื่นภายในอาคารแห่งเดียว
“ห้องชมวิว Befco Bakauke” บนชั้น 31 ของอาคารบันไดจิมะ โทคิเมซเซะนั้นอยู่บนความสูงประมาณ 125 เมตรเหนือพื้นดินซึ่งสูงที่สุดในฝั่งทะเลญี่ปุ่น สามารถชมวิวแบบพาโนรามา 360 องศาของตัวเมืองนิอิกะตะ ทะเลญี่ปุ่น เกาะสะโดะ และทิวเขาโกซุได้ฟรี
สามารถรับข้อมูลท่องเที่ยวนิอิกะตะและแผ่นพับ ฯลฯ ได้จากเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ อย่าลืมลองมาใช้ที่นี่เป็นจุดเริ่มต้นเพื่อไปท่องเที่ยวที่ต่างๆ กันให้ได้ค่ะ
Bandai Bridge
สะพานทอดข้ามแม่น้ำชินาโนะ สัญลักษณ์แห่งอำเภอนิอิกะตะที่มีพร้อมทั้งความงามและเสน่ห์
สะพานบันไดทอดข้าม “แม่น้ำชินาโนะ” อันเป็นแม่น้ำที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น ลักษณะพิเศษอยู่ตรงความแข็งแรงของโครงสร้างหินและสะพานโค้งสวยงามที่ทอดยาวต่อกัน ประดับตกแต่งด้วยหินแกรนิตทำให้มีเสน่ห์และสร้างบรรยากาศงดงาม
สะพานบันไดในปัจจุบันเป็นรุ่นที่สามซึ่งก่อสร้างขึ้นมาแทนที่ในปี 1929 เพื่อรองรับการเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ของเมืองและได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นทรัพย์สินทางวัฒนธรรมที่สำคัญของญี่ปุ่นเมื่อเดือนกรกฎาคมปี 2004 ที่นี่เป็นสะพานที่ทอดข้ามทางหลวงและได้รับเลือกให้เป็นทรัพย์สินทางวัฒนธรรมที่สำคัญเป็นอันดับ 2 ถัดจากสะพานนิฮงบาชิในโตเกียว สะพานยาว 306.9 เมตร และกว้าง 22.0 เมตร ทั้งยังได้สนับสนุนผู้คนที่รอดพ้นผ่านแผ่นดินไหวในนิอิกะตะเมื่อปี 1964 ด้วย
มีรถเยอะเพราะเป็นเส้นทางจราจรหลัก แต่มีทางเดินกว้างเตรียมเอาไว้ให้สามารถเดินข้ามได้ด้วย อีกทั้งวิวสะพานบันไดที่มองจากทางเดินเล่นเลียบแม่น้ำชินาโนะก็สุดวิเศษ อย่าพลาดลองมาเดินเล่นสบายๆ พลางชมวิวสะพานบันไดกัน รวมถึงขอแนะนำเรือโดยสารที่จะล่องไปตามแม่น้ำชินาโนะด้วย
สะพานบันไดในปัจจุบันเป็นรุ่นที่สามซึ่งก่อสร้างขึ้นมาแทนที่ในปี 1929 เพื่อรองรับการเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ของเมืองและได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นทรัพย์สินทางวัฒนธรรมที่สำคัญของญี่ปุ่นเมื่อเดือนกรกฎาคมปี 2004 ที่นี่เป็นสะพานที่ทอดข้ามทางหลวงและได้รับเลือกให้เป็นทรัพย์สินทางวัฒนธรรมที่สำคัญเป็นอันดับ 2 ถัดจากสะพานนิฮงบาชิในโตเกียว สะพานยาว 306.9 เมตร และกว้าง 22.0 เมตร ทั้งยังได้สนับสนุนผู้คนที่รอดพ้นผ่านแผ่นดินไหวในนิอิกะตะเมื่อปี 1964 ด้วย
มีรถเยอะเพราะเป็นเส้นทางจราจรหลัก แต่มีทางเดินกว้างเตรียมเอาไว้ให้สามารถเดินข้ามได้ด้วย อีกทั้งวิวสะพานบันไดที่มองจากทางเดินเล่นเลียบแม่น้ำชินาโนะก็สุดวิเศษ อย่าพลาดลองมาเดินเล่นสบายๆ พลางชมวิวสะพานบันไดกัน รวมถึงขอแนะนำเรือโดยสารที่จะล่องไปตามแม่น้ำชินาโนะด้วย
Yahiko Onsen
วันที่ 3
ศาลเจ้ายะฮิโคะ
“โอยะฮิโกะซามะ” เป็นพาวเวอร์สปอตเพียงแห่งเดียวของจังหวัดนิอิกะตะ
ศาลเจ้าอิยะฮิโกะได้รับความศรัทธามาตั้งแต่สมัยโบราณ กล่าวกันว่ามีประวัติมานานกว่า 2,400 ปี และเป็นศาลเจ้าที่ได้รับความนิยมจนมีผู้สักการะมาเยือนในวันปีใหม่กว่า 2 แสนคนเป็นประจำทุกปี
เมื่อเดินประมาณ 10 นาทีจากสถานี JR ยะฮิโกะก็จะมองเห็นป่ารอบศาลเจ้าอันยอดเยี่ยม ภายในศาลเจ้าที่มีป่าปกคลุมจะอบอวลไปด้วยบรรยากาศศักดิ์สิทธิ์ แต่เป็นสถานที่ที่ได้รับความนิยมเพราะสามารถเพลิดเพลินกับป่าบำบัดและใบไม้เปลี่ยนสีได้ จึงขอแนะนำให้ไปสักการะในช่วงเช้าตรู่ที่มีคนน้อยหากต้องการจะดื่มด่ำกับบรรยากาศงดงาม
ภายในศาลเจ้ามี “หินทำนายคำอธิษฐาน” ที่เรียกว่า “โอโมคารุโนะอิชิ” ให้นึกถึงคำอธิษฐานเอาไว้ในหัวแล้วยกหิน คำอธิษฐานจะเป็นจริงหากรู้สึกเบา แต่คำอธิษฐานจะเป็นจริงได้ยากหากรู้สึกหนัก อย่าพลาดมาลองทำนายตอนมาสักการะที่นี่กันดูนะ
เมื่อเดินจากวิหารหลักเข้าไปด้านในอีกประมาณ 10 นาทีก็จะพบกับสถานีเชิงเขาของกระเช้าลอยฟ้ายะฮิโกะยามะ สามารถนั่งจากตรงนั้นไปยังสถานียอดเขาได้ บนยอดเขายะฮิโกะมีโกะชินเบียว (สุสานบูชาเทพ) ศาลเจ้าอิยะฮิโกะที่เป็นโอคุมิยะ (ศาลเจ้าทางด้านหลัง) จึงขอแนะนำให้มาสักการะที่นี่ด้วย
เมื่อเดินประมาณ 10 นาทีจากสถานี JR ยะฮิโกะก็จะมองเห็นป่ารอบศาลเจ้าอันยอดเยี่ยม ภายในศาลเจ้าที่มีป่าปกคลุมจะอบอวลไปด้วยบรรยากาศศักดิ์สิทธิ์ แต่เป็นสถานที่ที่ได้รับความนิยมเพราะสามารถเพลิดเพลินกับป่าบำบัดและใบไม้เปลี่ยนสีได้ จึงขอแนะนำให้ไปสักการะในช่วงเช้าตรู่ที่มีคนน้อยหากต้องการจะดื่มด่ำกับบรรยากาศงดงาม
ภายในศาลเจ้ามี “หินทำนายคำอธิษฐาน” ที่เรียกว่า “โอโมคารุโนะอิชิ” ให้นึกถึงคำอธิษฐานเอาไว้ในหัวแล้วยกหิน คำอธิษฐานจะเป็นจริงหากรู้สึกเบา แต่คำอธิษฐานจะเป็นจริงได้ยากหากรู้สึกหนัก อย่าพลาดมาลองทำนายตอนมาสักการะที่นี่กันดูนะ
เมื่อเดินจากวิหารหลักเข้าไปด้านในอีกประมาณ 10 นาทีก็จะพบกับสถานีเชิงเขาของกระเช้าลอยฟ้ายะฮิโกะยามะ สามารถนั่งจากตรงนั้นไปยังสถานียอดเขาได้ บนยอดเขายะฮิโกะมีโกะชินเบียว (สุสานบูชาเทพ) ศาลเจ้าอิยะฮิโกะที่เป็นโอคุมิยะ (ศาลเจ้าทางด้านหลัง) จึงขอแนะนำให้มาสักการะที่นี่ด้วย
Mt. Yahiko
ปีนเขาความสูงระดับเดียวกับโตเกียวสกายทรี
ภูเขายะฮิโกะมีความสูง 634 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลเท่ากับโตเกียวสกายทรี เดินประมาณ 15 นาทีจากสถานียะฮิโกะ ปีนง่ายแม้แต่มือใหม่ก็ใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมง 30 นาทีจากทางขึ้นเขาโอโมเตะซันโดจนถึงยอดเขาจึงมีคนมาปีนเขากันมากมาย มีทั้งกระเช้าลอยฟ้ายะฮิโกะยามะและถนนยะฮิโกะยามะสกายไลน์ การสามารถขึ้นไปถึงยอดเขาได้ง่ายๆ ก็เป็นเหตุผลของความนิยม สร้างทางเดินบนเขาไว้สวยงามเดินได้ง่ายจึงแนะนำสำหรับเด็กๆ ที่เพิ่งเริ่มปีนเขาเป็นครั้งแรกด้วย และวางใจได้เพราะหากเหนื่อยขากลับก็สามารถนั่งกระเช้าลอยฟ้าลงเขาได้
ในสวนยอดเขายะฮิโกะตั้งอยู่บนชั้นที่เก้าของภูเขายะฮิโกะมีร้านอาหารชมวิวและ “พาโนรามาทาวเวอร์” อันเป็นหอคอยชมวิวสูง 100 เมตร แบบยกขึ้นลงและหมุนได้ คุณจึงสามารถทอดสายตาชมทัศนียภาพของที่ราบเอะจิโกะและทะเลญี่ปุ่นได้ ยามค่ำคืนจะได้เพลิดเพลินกับดาวพราวพร่างฟ้าและทิวทัศน์กลางคืนที่เปล่งกระกายของที่ราบเอะจิโกะซึ่งได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในร้อยอันดับวิวราตรีของญี่ปุ่นและเป็นมรดกทางวิวราตรีของญี่ปุ่น
บนยอดเขามีโกะชินเบียว (สุสานบูชาเทพ) และโอคุมิยะ (ศาลเจ้าทางด้านหลัง) ของศาลเจ้าอิยะฮิโกะ อย่าลืมลองมาสัมผัสกับพลังธรรมชาติของภูเขายะฮิโกะและบรรยากาศศักดิ์สิทธิ์ซึ่งได้รับการบูชาในฐานะภูเขาศักดิ์สิทธิ์มาตั้งแต่สมัยโบราณกาลกันให้ได้
ในสวนยอดเขายะฮิโกะตั้งอยู่บนชั้นที่เก้าของภูเขายะฮิโกะมีร้านอาหารชมวิวและ “พาโนรามาทาวเวอร์” อันเป็นหอคอยชมวิวสูง 100 เมตร แบบยกขึ้นลงและหมุนได้ คุณจึงสามารถทอดสายตาชมทัศนียภาพของที่ราบเอะจิโกะและทะเลญี่ปุ่นได้ ยามค่ำคืนจะได้เพลิดเพลินกับดาวพราวพร่างฟ้าและทิวทัศน์กลางคืนที่เปล่งกระกายของที่ราบเอะจิโกะซึ่งได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในร้อยอันดับวิวราตรีของญี่ปุ่นและเป็นมรดกทางวิวราตรีของญี่ปุ่น
บนยอดเขามีโกะชินเบียว (สุสานบูชาเทพ) และโอคุมิยะ (ศาลเจ้าทางด้านหลัง) ของศาลเจ้าอิยะฮิโกะ อย่าลืมลองมาสัมผัสกับพลังธรรมชาติของภูเขายะฮิโกะและบรรยากาศศักดิ์สิทธิ์ซึ่งได้รับการบูชาในฐานะภูเขาศักดิ์สิทธิ์มาตั้งแต่สมัยโบราณกาลกันให้ได้
ทานอาหารกลางวันที่ร้านอาหารในสถานีรถไฟ JR Echigoyuzawa
Mt. Hakkai Ropeway
เพลิดเพลินกับวิวสวยแบบพาโนรามา 360 องศาจากยอดเขา
ภูเขาฮัคไคได้รับการบูชาในฐานะภูเขาศักดิ์สิทธิ์มาตั้งแต่สมัยก่อนและเป็นจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่ได้รับความนิยมของอำเภอมินามิอุโอนุมะ เป็นหนึ่งในร้อยอันดับภูเขาชื่อดังของญี่ปุ่นและรู้จักกันว่าเป็นหนึ่งในสามภูเขาของเอะจิโกะร่วมกับภูเขาเอะจิโกะโคมะงาตาเกะและภูเขานากาโนะดาเกะ
นั่งกระเช้าลอยฟ้าขึ้นเขาระหว่างชมวิวสวยประมาณ 5 นาทีก็จะถึงสถานียอดเขา พอเดินจากตรงนั้นอีกประมาณ 5 นาทีก็จะเจอจุดชมวิวที่คุณจะได้เพลินตากับวิวพาโนรามายิ่งใหญ่ 360 องศา ในวันที่อากาศแจ่มใสจะสามารถทอดสายตามองเห็นภูเขาของโจชินเอ็ตสึ ทะเลญี่ปุ่น และเกาะสะโดะได้จากตรงนี้
มีทิวทัศน์ในแต่ละฤดูกาลให้ได้ชมกัน ไม่ว่าจะเป็นฤดูใบไม้ผลิที่ยังมีหิมะปกคลุมท่ามกลางความเขียวขจี ฤดูร้อนที่สีน้ำเงินของท้องฟ้าและสีเขียวของภูเขาตัดกันอย่างสวยงาม ฤดูใบไม้ร่วงที่ภูเขาจะย้อมไปด้วยใบไม้เปลี่ยนสี และฤดูหนาวที่มีหิมะขาวโพลน ผู้คนที่มาเยือนจึงหลงใหลไปกับความงามที่น่าตะลึงจนต้องกลั้นหายใจ
ปีนเขาได้ตั้งแต่เดือนมิถุนายน - พฤศจิกายน ยอดเขาสูงที่สุดคือนิวโดงาตาเกะที่มีความสูง 1,778 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล มีกระท่อมบนภูเขาด้วย การปีนเขามีความยากอยู่ในระดับเหมาะกับผู้เชี่ยวชาญ แต่การนั่งกระเช้าลอยฟ้าไปถึงชั้นที่ 4 และสนุกสนานกับการปีนเขาจากตรงนั้นก็เป็นอีกวิธีหนึ่ง
นั่งกระเช้าลอยฟ้าขึ้นเขาระหว่างชมวิวสวยประมาณ 5 นาทีก็จะถึงสถานียอดเขา พอเดินจากตรงนั้นอีกประมาณ 5 นาทีก็จะเจอจุดชมวิวที่คุณจะได้เพลินตากับวิวพาโนรามายิ่งใหญ่ 360 องศา ในวันที่อากาศแจ่มใสจะสามารถทอดสายตามองเห็นภูเขาของโจชินเอ็ตสึ ทะเลญี่ปุ่น และเกาะสะโดะได้จากตรงนี้
มีทิวทัศน์ในแต่ละฤดูกาลให้ได้ชมกัน ไม่ว่าจะเป็นฤดูใบไม้ผลิที่ยังมีหิมะปกคลุมท่ามกลางความเขียวขจี ฤดูร้อนที่สีน้ำเงินของท้องฟ้าและสีเขียวของภูเขาตัดกันอย่างสวยงาม ฤดูใบไม้ร่วงที่ภูเขาจะย้อมไปด้วยใบไม้เปลี่ยนสี และฤดูหนาวที่มีหิมะขาวโพลน ผู้คนที่มาเยือนจึงหลงใหลไปกับความงามที่น่าตะลึงจนต้องกลั้นหายใจ
ปีนเขาได้ตั้งแต่เดือนมิถุนายน - พฤศจิกายน ยอดเขาสูงที่สุดคือนิวโดงาตาเกะที่มีความสูง 1,778 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล มีกระท่อมบนภูเขาด้วย การปีนเขามีความยากอยู่ในระดับเหมาะกับผู้เชี่ยวชาญ แต่การนั่งกระเช้าลอยฟ้าไปถึงชั้นที่ 4 และสนุกสนานกับการปีนเขาจากตรงนั้นก็เป็นอีกวิธีหนึ่ง
จุดหมายปลายทาง