ชมประวัติศาสตร์และแช่ออนเซ็นที่เซนได และยะมะกะตะ 2 วัน 1 คืน
เริ่มต้น
วันที่ 1
ซุยโฮเดน
สถานที่สุดท้ายในช่วงชีวิตของดาเตะ มาซามุเนะ
สุสานซุยโฮเด็น สถานที่ฝังศพของดาเตะ มาซามุเนะ ที่ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ.1637 เป็นอาคารสุสานทรงโบราณศิลปะแบบสมัยโมโมยาม่าที่มีความงดงาม ซึ่งถึงแม้จะถูกกำหนดให้เป็นสมบัติของชาติในปี ค.ศ.1931 แต่ถูกไฟเผาทำลายเนื่องจากสงคราม โดยอาคารที่เห็นอยู่ในปัจจุบันถูกสร้างขึ้นใหม่ในปี ค.ศ.1979ภายในนอกจากจะมีสุสานรุ่นที่สองและสามแล้ว ยังมีพิพิธภัณฑ์หอจดหมายเหตุที่จัดแสดงวัตถุที่พบจากการขุดค้นด้วย
* โปรดตรวจสอบเว็บไซต์อย่างเป็นทางการสำหรับข้อมูลล่าสุด
* โปรดตรวจสอบเว็บไซต์อย่างเป็นทางการสำหรับข้อมูลล่าสุด
ทานอาหารกลางวันในเมืองเซนได
ลิ้นวัว
"ลิ้นวัว" จานดาวเด่นแห่งเซนได แต่ละร้านจะมีวิธีหั่นลิ้นหนาไม่เท่ากัน มีวิธีปรุง วิธีย่างต่างกันไป ทำให้รสชาติมีหลายรูปแบบ นอกจาก "ตรอกลิ้นวัว" ในสถานีเซนไดแล้วก็มีร้านในเมืองอีกจำนวนมาก แนะนำให้ลองทานเปรียบเทียบกันดู นอกจากลิ้นวัวย่างก็ยังมีวิธีทานแบบอื่นๆ มากมาย เช่น สตูว์ลิ้นวัว, ยำลิ้นวัว, ซาชิมิ, ซูชิ มาสัมผัสรสชาติต้นตำรับดูสิ
ค้นหาร้านอาหาร
ค้นหาร้านอาหาร
วัดยะมะเดะระ (วัดโฮจุซังริชชะคุจิ)
วัดโบราณท่ามกลางท้องฟ้าเปิดโล่งซึ่งประพันธ์ออกมาเป็นกลอนชื่อดังโดยนักกวีผู้เลื่องชื่อ
""วัดโฮจุซังริชชะคุจิ"" รู้จักกันในชื่อ ""วัดยะมะเดะระ"" ภูเขาที่เกิดมาจากหินรูปร่างพิสดารแห่งนี้เป็นสถานปฏิบัติธรรมและสถานที่สำหรับสักการะบูชา เส้นทางปีนเขาจากปากทางขึ้นมาถึงไดบุตสึเด็นในโอะคุโนะอินจะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง และระหว่างทางคุณจะได้เห็นทิวทัศน์ตระการตาตลอดทาง นอกจากนี้ ยังเป็นที่รู้จักจากบทกลอนในบันทึกการเดินทาง ""โอะคุโนะโฮะโสะมิจิ"" ของนักกวีชื่อดังนามว่ามัตสึโอะ บะโช และท่อนที่รู้จักกันดีคือ ""ท่ามกลางความเงียบงัน เสียงจิ้งหรีดร้องดังระงม แทรกซึมลึกหินผา""
การขึ้นบันไดหินทอดยาวถึง 1,015 ขั้นและมุ่งหน้าสู่โอะคุโนะอินเป็นเส้นทางสักการะพื้นฐาน เป็นบันไดหินสำหรับปฏิบัติธรรมเพราะกล่าวกันว่าการขึ้นบันไดหินนี้จะช่วยตัดกิเลสได้ ถึงบอกว่าเป็นการปฏิบัติธรรม แต่ระหว่างทางก็เต็มไปด้วยจุดน่าสนใจมากมายที่มีร่องรอยประวัติศาสตร์อย่างแผ่นศิลาจารึกและจุดที่มีวิวสวยงามตระการตา คุณจึงสามารถที่จะขึ้นบันไดพลางเพลิดเพลินทั้งในด้านสติปัญญาและด้านความรู้สึกได้
อันดับแรกให้มุ่งหน้าไป “คนโปชูโด” ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากปากทางขึ้นเขา กล่าวกันว่าเป็นสถาปัตยกรรมไม้บีชเก่าแก่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่นและได้รับการกำหนดเป็นทรัพย์สินทางวัฒนธรรมที่สำคัญของญี่ปุ่น “มิดาโฮระ” เป็นพาวเวอร์สปอตที่จะทำให้คนมีความสุขหากพบพระพุทธรูปบนกำแพงหินซึ่งถูกกัดเซาะโดยลมฝน พอผ่าน “นิโอมง (ประตูเทวาพิทักษ์)” ที่มีรูปหล่อนักรบ 2 องค์กำลังเฝ้าจับตาดูเพื่อไม่ให้ผู้มีจิตใจชั่วร้ายผ่านแล้วก็จะพบกับ “ไคซังโด โนเคียวโด” โนเคียวโดสีแดงที่ตั้งตระหง่านอยู่บนหินหน้าตาประหลาดก้อนยักษ์โดยมีภูเขายิ่งใหญ่อลังการเป็นฉากหลังนั้นเป็นวิวอันโดดเด่นของวัดยะมะเดะระ “โกไดโด” ที่มองเห็นทิวทัศน์ไร่สวนมาจากด้านในอุโบสถอันคล้ายคลึงกับเวทีการแสดงละครโนก็เป็นจุดชมวิวเพียงแห่งเดียวของวัดยะมะเดะระ กล่าวกันว่า “โอะคุโนะอิน ไดบุตสึเด็น” ที่อยู่ปลายทางจะช่วยตัดโชคชะตาชั่วร้ายได้
อย่าลืมมาเพลิดเพลินกับอาหารขึ้นชื่อด้วย เช่น “ยะมะเดะระชิคาระคอนเนียคุ (หัวบุก)” “ซอฟต์ครีมเชอร์รี” และ “ดาชิโซบะ”
การขึ้นบันไดหินทอดยาวถึง 1,015 ขั้นและมุ่งหน้าสู่โอะคุโนะอินเป็นเส้นทางสักการะพื้นฐาน เป็นบันไดหินสำหรับปฏิบัติธรรมเพราะกล่าวกันว่าการขึ้นบันไดหินนี้จะช่วยตัดกิเลสได้ ถึงบอกว่าเป็นการปฏิบัติธรรม แต่ระหว่างทางก็เต็มไปด้วยจุดน่าสนใจมากมายที่มีร่องรอยประวัติศาสตร์อย่างแผ่นศิลาจารึกและจุดที่มีวิวสวยงามตระการตา คุณจึงสามารถที่จะขึ้นบันไดพลางเพลิดเพลินทั้งในด้านสติปัญญาและด้านความรู้สึกได้
อันดับแรกให้มุ่งหน้าไป “คนโปชูโด” ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากปากทางขึ้นเขา กล่าวกันว่าเป็นสถาปัตยกรรมไม้บีชเก่าแก่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่นและได้รับการกำหนดเป็นทรัพย์สินทางวัฒนธรรมที่สำคัญของญี่ปุ่น “มิดาโฮระ” เป็นพาวเวอร์สปอตที่จะทำให้คนมีความสุขหากพบพระพุทธรูปบนกำแพงหินซึ่งถูกกัดเซาะโดยลมฝน พอผ่าน “นิโอมง (ประตูเทวาพิทักษ์)” ที่มีรูปหล่อนักรบ 2 องค์กำลังเฝ้าจับตาดูเพื่อไม่ให้ผู้มีจิตใจชั่วร้ายผ่านแล้วก็จะพบกับ “ไคซังโด โนเคียวโด” โนเคียวโดสีแดงที่ตั้งตระหง่านอยู่บนหินหน้าตาประหลาดก้อนยักษ์โดยมีภูเขายิ่งใหญ่อลังการเป็นฉากหลังนั้นเป็นวิวอันโดดเด่นของวัดยะมะเดะระ “โกไดโด” ที่มองเห็นทิวทัศน์ไร่สวนมาจากด้านในอุโบสถอันคล้ายคลึงกับเวทีการแสดงละครโนก็เป็นจุดชมวิวเพียงแห่งเดียวของวัดยะมะเดะระ กล่าวกันว่า “โอะคุโนะอิน ไดบุตสึเด็น” ที่อยู่ปลายทางจะช่วยตัดโชคชะตาชั่วร้ายได้
อย่าลืมมาเพลิดเพลินกับอาหารขึ้นชื่อด้วย เช่น “ยะมะเดะระชิคาระคอนเนียคุ (หัวบุก)” “ซอฟต์ครีมเชอร์รี” และ “ดาชิโซบะ”
บ่อน้ำพุร้อนกินซัง
เมืองออนเซ็นที่มีสถาปัตยกรรมไม้ย้อนยุคชวนให้หวนนึกถึงอดีตและสวยเหมาะแก่การถ่ายภาพ!
กิงซันออนเซ็นมาพร้อมกับทิวทัศน์สไตล์ย้อนยุคเหมือนได้ย้อนเวลากลับไปในอดีต เมืองออนเซ็นแห่งนี้มีเรียวกังไม้ตั้งเรียงรายอยู่ริมสองฝั่งแม่น้ำกิงซัน โคมไฟแก๊สที่จุดหลังพระอาทิตย์ตกจะช่วยสร้างบรรยากาศแบบญี่ปุ่นย้อนยุค ประหนึ่งฉากในภาพยนตร์เรื่อง “มิติวิญญาณมหัศจรรย์ (Spirited Away)” ทั้งยังเป็นทำเลถ่ายทำละครประจำชาติอย่างเรื่อง “โอชิน” อีกด้วย หิมะยามราตรีเหมาะแก่การถ่ายภาพมากที่สุด เพราะแสงไฟด้านนอกจะช่วยขับตัวเมืองที่แต่งแต้มด้วยหิมะให้สวยเด่นยิ่งขึ้น
การเดินชมเมืองในช่วงกลางวันก็มีจุดน่าชมอยู่มากมาย บนกำแพงของเรียวกังที่เรียงรายอยู่นั้นมีภาพโคเทเอะ (งานแกะสลักปูนขาว) สีสันสดใสวาดเอาไว้และในยางมะตอยก็มีกระเบื้องลายเกล็ดหิมะฝังเอาไว้ด้วย “ออนเซ็นแช่เท้าวาราชิยุ” ตั้งอยู่ติดกับแม่น้ำกิงซันและมีน้ำพุร้อนที่ใช้ต้นน้ำโดยไม่มีการผสมอะไรให้แช่ จึงทำให้เกิดความรู้สึกพิเศษในแบบเฉพาะของเมืองออนเซ็น และคาเฟ่ จุดเดินทาน และร้านจำหน่ายสินค้าของฝากก็มีครบครันอยู่ในระยะเดิน จึงเป็นเมืองออนเซ็นที่เดินเล่นได้อย่างสนุกสนาน ลองมาเช่าและสวมชุดในสมัยไทโชซึ่งเป็นช่วงหลังจากญี่ปุ่นรับวัฒนธรรมชาติตะวันตกเข้ามา แล้วไปเดินเล่นชมบ้านเมืองที่สวยงามดุจดังภาพวาดกันดีกว่า
แม้จะเป็นสถานที่ลึกลับถูกปกคลุมด้วยหิมะหนา แต่ก็อยู่ในทำเลดีโดยนั่งรถไฟยะมะกะตะชินคังเซ็นจากโตเกียวประมาณ 3 ชม. และนั่งรถบัสสายตรงอีก 40 นาที การเพลิดเพลินกับบ่อแช่น้ำกลางแจ้งชมวิวหิมะก็เป็นจุดน่าสนใจของกิงซันออนเซ็นซึ่งตั้งอยู่ในภูมิภาคที่มีหิมะตกหนัก แนะนำว่าตอนกลางคืนให้ไปอบอุ่นร่างกายด้วยการแช่น้ำในเรียวกังและลิ้มรสอาหารขึ้นชื่ออย่าง “โอบานะซาวะโซบะ” ซึ่งทำจากเนื้อวัวลายหินอ่อนละเอียดแบรนด์ดังอย่างเนื้อวัวโอบานะซาวะและแป้งโซบะของท้องถิ่น
บริเวณโดยรอบยังมีจุดชมทิวทัศน์ธรรมชาติสวยๆ อย่างเช่น “หุบเขาเซ็นชิน” ที่มีความวิเศษตรงใบไม้สีเชียวชอุ่มกับใบไม้เปลี่ยนสีและ “น้ำตกชิโรงาเนะโนะทาคิ” ซึ่งเป็นน้ำตกแนวดิ่งที่มีความสูง 22 เมตรอีกด้วย
การเดินชมเมืองในช่วงกลางวันก็มีจุดน่าชมอยู่มากมาย บนกำแพงของเรียวกังที่เรียงรายอยู่นั้นมีภาพโคเทเอะ (งานแกะสลักปูนขาว) สีสันสดใสวาดเอาไว้และในยางมะตอยก็มีกระเบื้องลายเกล็ดหิมะฝังเอาไว้ด้วย “ออนเซ็นแช่เท้าวาราชิยุ” ตั้งอยู่ติดกับแม่น้ำกิงซันและมีน้ำพุร้อนที่ใช้ต้นน้ำโดยไม่มีการผสมอะไรให้แช่ จึงทำให้เกิดความรู้สึกพิเศษในแบบเฉพาะของเมืองออนเซ็น และคาเฟ่ จุดเดินทาน และร้านจำหน่ายสินค้าของฝากก็มีครบครันอยู่ในระยะเดิน จึงเป็นเมืองออนเซ็นที่เดินเล่นได้อย่างสนุกสนาน ลองมาเช่าและสวมชุดในสมัยไทโชซึ่งเป็นช่วงหลังจากญี่ปุ่นรับวัฒนธรรมชาติตะวันตกเข้ามา แล้วไปเดินเล่นชมบ้านเมืองที่สวยงามดุจดังภาพวาดกันดีกว่า
แม้จะเป็นสถานที่ลึกลับถูกปกคลุมด้วยหิมะหนา แต่ก็อยู่ในทำเลดีโดยนั่งรถไฟยะมะกะตะชินคังเซ็นจากโตเกียวประมาณ 3 ชม. และนั่งรถบัสสายตรงอีก 40 นาที การเพลิดเพลินกับบ่อแช่น้ำกลางแจ้งชมวิวหิมะก็เป็นจุดน่าสนใจของกิงซันออนเซ็นซึ่งตั้งอยู่ในภูมิภาคที่มีหิมะตกหนัก แนะนำว่าตอนกลางคืนให้ไปอบอุ่นร่างกายด้วยการแช่น้ำในเรียวกังและลิ้มรสอาหารขึ้นชื่ออย่าง “โอบานะซาวะโซบะ” ซึ่งทำจากเนื้อวัวลายหินอ่อนละเอียดแบรนด์ดังอย่างเนื้อวัวโอบานะซาวะและแป้งโซบะของท้องถิ่น
บริเวณโดยรอบยังมีจุดชมทิวทัศน์ธรรมชาติสวยๆ อย่างเช่น “หุบเขาเซ็นชิน” ที่มีความวิเศษตรงใบไม้สีเชียวชอุ่มกับใบไม้เปลี่ยนสีและ “น้ำตกชิโรงาเนะโนะทาคิ” ซึ่งเป็นน้ำตกแนวดิ่งที่มีความสูง 22 เมตรอีกด้วย
วันที่ 2
ซากปราสาทยามากาตะและสวนสาธารณะคะโจ
สถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังที่มีปราสาทซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างบูรณะและอาคารทางวัฒนธรรมหลายแห่ง
ปราสาทชื่อดัง “ปราสาทยะมะกะตะ” สร้างขึ้นโดยผู้ครองแคว้นชั้นแนวหน้าของโทโฮคุในสมัยเซ็นโกคุนามว่าโมงามิ โยชิอากิ ได้รับเลือกให้เป็นร่องรอยทางประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นและปราสาทชื่อดังร้อยอันดับของญี่ปุ่น ตั้งอยู่ในเมืองยะมะกะตะและเปิดเป็นสวนคะโจให้กับบุคคลทั่วไปได้ชมหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง แต่กำลังดำเนินการขุดสำรวจและก่อสร้างบูรณะในช่วงไม่กี่ปีมานี้ ปัจจุบัน ณ ปี 2018 ได้ดำเนินการซ่อมแซมประตูปราสาทใหญ่อย่าง “ประตูโอเทะมงทิศตะวันออกของป้อมปราการชั้นนอก” และ “ประตูอิชิมงจิป้อมปราการชั้นใน” และค่อยๆ ช่วยดึงกลิ่นอายแบบสมัยโบราณกลับมา
รูปหล่อทองแดงผู้กล้าหาญภายในพื้นที่เป็นของโมงามิ โยชิอากิ แม้การสลับสับเปลี่ยนเจ้าของปราสาทยะมะกะตะจะดุเดือด แต่โยชิอากิกลายเป็นรูปหล่อทองแดงได้เพราะได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นมาเป็นผู้ครองแคว้นในยุคหนึ่งและได้รับความนิยมสูงจากการอุทิศตนช่วยพัฒนาเมือง ท่าทางองอาจตอนนำทัพไปสู่สนามรบจึงได้กลายมาเป็นรูปหล่อทองแดง
มี “พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นเมืองยะมะกะตะ (อาคารหลักไซเซคังเก่า)” ที่ปี 1969 ได้ทำการย้ายและซ่อมแซมโรงพยาบาลประจำจังหวัดยะมะกะตะซึ่งสร้างเมื่อปี 1878 และเปิดให้เข้าชมได้ฟรีด้วย มีจัดแสดงอุปกรณ์การแพทย์ ฯลฯ ในสมัยนั้น “หินคุบิอาไรอิชิบาจิ” ยังคงตั้งอยู่ข้างอาคารแห่งนี้ เป็นร่องรอยประวัติศาสตร์ที่อาจเรียกได้ว่านองเลือดเพราะเคยเป็นจุดพาดคอตอนจะปลิดชีวิตของชิโรโทริ จูโร นางาฮิสะผู้เคยเป็นคู่แค้นกับโมงามิ โยชิอากิ
สวนคะโจอันเป็นที่ตั้งของปราสาทยะมะกะตะยังเป็นจุดชมซากุระชื่อดังเพียงแห่งเดียวในอำเภอยะมะกะตะที่มีซากุระบานสะพรั่งกว่า 1,500 ต้น ฤดูซากุระจะมีการเปิดไฟประดับซากุระที่อยู่เลียบคูน้ำตั้งแต่ทิศตะวันออกจนถึงทิศใต้ นอกจากนี้ ภายในสวนและบริเวณใกล้เคียงยังมีอาคารทางวัฒนธรรมอีกมากมาย เช่น พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นเมืองยะมะกะตะดังที่กล่าวไว้ข้างต้น พิพิธภัณฑ์ประจำจังหวัดยะมะกะตะ พิพิธภัณฑ์ศิลปะยะมะกะตะ และพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์โมงามิ โยชิอากิ และได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดัง
รูปหล่อทองแดงผู้กล้าหาญภายในพื้นที่เป็นของโมงามิ โยชิอากิ แม้การสลับสับเปลี่ยนเจ้าของปราสาทยะมะกะตะจะดุเดือด แต่โยชิอากิกลายเป็นรูปหล่อทองแดงได้เพราะได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นมาเป็นผู้ครองแคว้นในยุคหนึ่งและได้รับความนิยมสูงจากการอุทิศตนช่วยพัฒนาเมือง ท่าทางองอาจตอนนำทัพไปสู่สนามรบจึงได้กลายมาเป็นรูปหล่อทองแดง
มี “พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นเมืองยะมะกะตะ (อาคารหลักไซเซคังเก่า)” ที่ปี 1969 ได้ทำการย้ายและซ่อมแซมโรงพยาบาลประจำจังหวัดยะมะกะตะซึ่งสร้างเมื่อปี 1878 และเปิดให้เข้าชมได้ฟรีด้วย มีจัดแสดงอุปกรณ์การแพทย์ ฯลฯ ในสมัยนั้น “หินคุบิอาไรอิชิบาจิ” ยังคงตั้งอยู่ข้างอาคารแห่งนี้ เป็นร่องรอยประวัติศาสตร์ที่อาจเรียกได้ว่านองเลือดเพราะเคยเป็นจุดพาดคอตอนจะปลิดชีวิตของชิโรโทริ จูโร นางาฮิสะผู้เคยเป็นคู่แค้นกับโมงามิ โยชิอากิ
สวนคะโจอันเป็นที่ตั้งของปราสาทยะมะกะตะยังเป็นจุดชมซากุระชื่อดังเพียงแห่งเดียวในอำเภอยะมะกะตะที่มีซากุระบานสะพรั่งกว่า 1,500 ต้น ฤดูซากุระจะมีการเปิดไฟประดับซากุระที่อยู่เลียบคูน้ำตั้งแต่ทิศตะวันออกจนถึงทิศใต้ นอกจากนี้ ภายในสวนและบริเวณใกล้เคียงยังมีอาคารทางวัฒนธรรมอีกมากมาย เช่น พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นเมืองยะมะกะตะดังที่กล่าวไว้ข้างต้น พิพิธภัณฑ์ประจำจังหวัดยะมะกะตะ พิพิธภัณฑ์ศิลปะยะมะกะตะ และพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์โมงามิ โยชิอากิ และได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดัง
ทานอาหารกลางวันในเมืองโยะเนะซะวะ
เนื้อโยะเนะซะวะ (จังหวัดยะมะกะตะ)
แอ่งโยะเนะซะวะช่วงหน้าร้อนจะมีอุณหภูมิและความชื้นสูง ส่วนหน้าหนาวก็จะหนาวจัด ความแตกต่างของอุณหูมินี้ทำให้เนื้อวัวมีไขมันแทรกและเนื้อแน่น จุดเด่นคือสัมผัสแบบละลายในปากและรสหวานของเนื้อ ในตัวเมืองโยะเนะซะวะสามารถหาร้านทานเนื้อโยะเนะซะวะได้มากมาย ทั้งร้านสเต็ก, สุกี้ยากี้, ชาบูชาบู บางร้านก็ทานได้ในราคาเอื้อมถึง
ค้นหาร้านอาหาร
ค้นหาร้านอาหาร
ศาลเจ้าอุเอะสุงิ
พาวเวอร์สปอตที่บูชานักรบสุดแกร่งแห่งยุคเซ็นโกคุอย่างอุเอะสุกิ เคนชินเป็นเทพเจ้าประจำศาลเจ้า
ศาลเจ้าอุเอะสุกิสร้างทับซากป้อมปราการชั้นในของปราสาทโยะเนะซะวะเพื่อให้เป็นที่บูชาของอุเอะสุกิ เคนชินซึ่งเล่าขานกันว่าเป็นนักรบสุดแกร่งแห่งยุคเซ็นโกคุ ที่นี่เป็นพาวเวอร์สปอตที่เชื่อกันว่าผลบุญจากอุเอะสุกิ เคนชินจะช่วยเสริมโชคลาภ สมหวังตามคำอธิษฐาน ประสบความสำเร็จด้านการเรียนและทำให้กิจการรุ่งเรือง
สะพานไมซึรุบาชิตรงทางเดินเข้าวัดมีธงที่เขียนอักษรคำว่า “บิ” กับ “ริว” โบกสะบัดอยู่ อักษรคำว่า “บิ” มาจากการที่อุเอะสุกิ เคนชินรู้สึกศรัทธาท้าวเวสสุวรรณเป็นอย่างมาก อักษรคำว่า “ริว” หมายถึงพระอจลนาถ กล่าวกันว่าเป็นธงศึกที่ชูส่งสัญญาณบุกโจมตีตอนให้ทั้งกองทัพเข้าโจมตีพร้อมกัน และเล่ากันว่าสองเทพสุดแกร่งอย่างท้าวเวสสุวรรณกับพระอจลนาถจะมาช่วยอุเอะสุกิ เคนชินตอนสู้รบเพราะเขาเป็นผู้ศรัทธาศาสนาพุทธอย่างแรงกล้า
“เคโชเด็น ศาลเจ้าอุเอะสุกิ” ที่จัดแสดงทรัพย์สินทางวัฒนธรรมที่สำคัญจำนวนมากโดยเน้นข้าวของเครื่องใช้ของตระกูลอุเอะสุกิก็เป็นจุดที่คนรักประวัติศาสตร์ไม่ควรพลาดมาชม ทั้งยังมีหมวกเกราะชื่อดังที่ดีไซน์มาจากตัวอักษรคำว่า “ไอ (รัก)” ของนายพลผู้ชำนาญทั้งยุทธการและวิทยาการนามว่านาโอเอะ คาเนสึงุด้วย
เป็นทั้งจุดชมซากุระชื่อดังที่ซากุระ 200 ต้นเลียบคูน้ำจะบานสะพรั่งเมื่อเข้าสู่ช่วงกลางถึงปลายเดือนเมษายนของทุกปี “เทศกาลโยะเนะซะวะอุเอะสุกิ” จะจัดขึ้นวันที่ 29 เมษายน - 3 พฤษภาคมเป็นประจำทุกปี ในงานจะมี “พาเหรดอุเอะสุกิ” ซึ่งเป็นขบวนของคนสวมชุดเกราะสวยงามอลังการรวมกว่าหนึ่งพันและอีกหลายร้อยคน รวมถึง “ศึกคาวานากะจิมะ” ซึ่งจำลองการสู้รบครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ยุคเซ็นโกคุให้ได้ชมกัน “เทศกาลโคมไฟหิมะอุเอะสุกิ” จะจัดขึ้นทุกวันเสาร์และอาทิตย์ที่ 2 ของเดือนกุมภาพันธ์ เทียนในโคมไฟหิมะกว่า 300 โคมและอุโมงค์หิมะกว่า 1,000 อันจะถูกจุดสว่างไสวและสร้างให้เกิดบรรยากาศสวยงามน่ามหัศจรรย์
“ศาลเจ้ามัตสึงาซากิ” ที่บูชาอุเอะสุกิ โยซังเป็นเทพประจำศาลเจ้าซึ่งรู้จักกันมาจากคำกล่าวที่ว่า “ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร หากลงมือทำก็สำเร็จ หากไม่ลงมือทำก็ไม่สำเร็จ” นั้นเป็นศาลเจ้าเสริมของศาลเจ้าอุเอะสุกิ ตั้งอยู่ไม่ไกลจากศาลเจ้าอุเอะสุกิ ฉะนั้นอย่าลืมไปสักการะพร้อมกันให้ได้ค่ะ
สะพานไมซึรุบาชิตรงทางเดินเข้าวัดมีธงที่เขียนอักษรคำว่า “บิ” กับ “ริว” โบกสะบัดอยู่ อักษรคำว่า “บิ” มาจากการที่อุเอะสุกิ เคนชินรู้สึกศรัทธาท้าวเวสสุวรรณเป็นอย่างมาก อักษรคำว่า “ริว” หมายถึงพระอจลนาถ กล่าวกันว่าเป็นธงศึกที่ชูส่งสัญญาณบุกโจมตีตอนให้ทั้งกองทัพเข้าโจมตีพร้อมกัน และเล่ากันว่าสองเทพสุดแกร่งอย่างท้าวเวสสุวรรณกับพระอจลนาถจะมาช่วยอุเอะสุกิ เคนชินตอนสู้รบเพราะเขาเป็นผู้ศรัทธาศาสนาพุทธอย่างแรงกล้า
“เคโชเด็น ศาลเจ้าอุเอะสุกิ” ที่จัดแสดงทรัพย์สินทางวัฒนธรรมที่สำคัญจำนวนมากโดยเน้นข้าวของเครื่องใช้ของตระกูลอุเอะสุกิก็เป็นจุดที่คนรักประวัติศาสตร์ไม่ควรพลาดมาชม ทั้งยังมีหมวกเกราะชื่อดังที่ดีไซน์มาจากตัวอักษรคำว่า “ไอ (รัก)” ของนายพลผู้ชำนาญทั้งยุทธการและวิทยาการนามว่านาโอเอะ คาเนสึงุด้วย
เป็นทั้งจุดชมซากุระชื่อดังที่ซากุระ 200 ต้นเลียบคูน้ำจะบานสะพรั่งเมื่อเข้าสู่ช่วงกลางถึงปลายเดือนเมษายนของทุกปี “เทศกาลโยะเนะซะวะอุเอะสุกิ” จะจัดขึ้นวันที่ 29 เมษายน - 3 พฤษภาคมเป็นประจำทุกปี ในงานจะมี “พาเหรดอุเอะสุกิ” ซึ่งเป็นขบวนของคนสวมชุดเกราะสวยงามอลังการรวมกว่าหนึ่งพันและอีกหลายร้อยคน รวมถึง “ศึกคาวานากะจิมะ” ซึ่งจำลองการสู้รบครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ยุคเซ็นโกคุให้ได้ชมกัน “เทศกาลโคมไฟหิมะอุเอะสุกิ” จะจัดขึ้นทุกวันเสาร์และอาทิตย์ที่ 2 ของเดือนกุมภาพันธ์ เทียนในโคมไฟหิมะกว่า 300 โคมและอุโมงค์หิมะกว่า 1,000 อันจะถูกจุดสว่างไสวและสร้างให้เกิดบรรยากาศสวยงามน่ามหัศจรรย์
“ศาลเจ้ามัตสึงาซากิ” ที่บูชาอุเอะสุกิ โยซังเป็นเทพประจำศาลเจ้าซึ่งรู้จักกันมาจากคำกล่าวที่ว่า “ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร หากลงมือทำก็สำเร็จ หากไม่ลงมือทำก็ไม่สำเร็จ” นั้นเป็นศาลเจ้าเสริมของศาลเจ้าอุเอะสุกิ ตั้งอยู่ไม่ไกลจากศาลเจ้าอุเอะสุกิ ฉะนั้นอย่าลืมไปสักการะพร้อมกันให้ได้ค่ะ
Yonezawa Castle Ruins / Matsugasaki Park
หวนรำลึกถึงยุคเซ็นโกคุ ณ ซากปราสาทที่มีคูน้ำ
สวนมัตสึงาซากิมีคูน้ำที่จะทำให้หวนรำลึกถึงปราสาทโยะเนะซะวะในสมัยอดีต เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจสำหรับคนรักประวัติศาสตร์เพราะมีร่องรอยทางประวัติศาสตร์ของตระกูลอุเอะสุกิกระจายอยู่ตามจุดต่างๆ เช่น อุเอะสุกิ เคนชินที่เล่าขานกันว่าเป็นขุนพลสุดแกร่งแห่งยุคเซ็นโกคุ และอุเอะสุกิ โยซังซึ่งรู้จักกันจากคำกล่าวที่ว่า “ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร หากลงมือทำก็สำเร็จ หากไม่ลงมือทำก็ไม่สำเร็จ” ภายในบริเวณยังมี “ศาลเจ้าอุเอะสุกิ” ที่เชื่อกันว่าผลบุญจากอุเอะสุกิ เคนชินจะช่วยเสริมโชคลาภและทำให้สมหวังตามคำอธิษฐาน รวมถึง “เคโชเด็น ศาลเจ้าอุเอะสุกิ” ที่จัดแสดงทรัพย์สินทางวัฒนธรรมที่สำคัญจำนวนมากโดยเน้นข้าวของเครื่องใช้ของตระกูลอุเอะสุกิ นอกจากนี้ยังมีศิลาจารึกแสดงบ้านเกิดของดะเตะ มะซะมุเนะที่โด่งดังในฉายามังกรตาเดียว
ทั้งยังเป็นจุดชมซากุระชื่อดังและจะมีซากุระ 200 ต้นบานสะพรั่งอยู่เลียบคูน้ำเมื่อเข้าสู่ช่วงกลางถึงปลายเดือนเมษายนของทุกปี ซากุระที่สะท้อนบนผิวน้ำในคูและสีที่ตัดกันระหว่างซากุระกับสะพานสีแดงทอดข้ามคูน้ำก็มีความสวยงามเหมาะสำหรับการถ่ายภาพ ซากุระเหล่านี้จะเปลี่ยนเป็นสีส้มสดใสเมื่อเข้าสู่ช่วงปลายเดือนตุลาคม - ต้นเดือนพฤศจิกายน และทำให้ผู้มาชมได้เพลินตากัน
ด้านข้างติดกับสวนมี “ศาลเจ้ามัตสึงาซากิ” ที่บูชาอุเอะสุกิ โยซัง และร้าน “อุเอะสุกิโจชิเอ็น"" ที่มีอาหารท้องถิ่นให้เพลิดเพลินและวางจำหน่ายสินค้าของฝากอย่างครบครัน ดังนั้นอย่าลืมมาแวะเที่ยวไปในคราวเดียวกันให้ได้
ทั้งยังเป็นจุดชมซากุระชื่อดังและจะมีซากุระ 200 ต้นบานสะพรั่งอยู่เลียบคูน้ำเมื่อเข้าสู่ช่วงกลางถึงปลายเดือนเมษายนของทุกปี ซากุระที่สะท้อนบนผิวน้ำในคูและสีที่ตัดกันระหว่างซากุระกับสะพานสีแดงทอดข้ามคูน้ำก็มีความสวยงามเหมาะสำหรับการถ่ายภาพ ซากุระเหล่านี้จะเปลี่ยนเป็นสีส้มสดใสเมื่อเข้าสู่ช่วงปลายเดือนตุลาคม - ต้นเดือนพฤศจิกายน และทำให้ผู้มาชมได้เพลินตากัน
ด้านข้างติดกับสวนมี “ศาลเจ้ามัตสึงาซากิ” ที่บูชาอุเอะสุกิ โยซัง และร้าน “อุเอะสุกิโจชิเอ็น"" ที่มีอาหารท้องถิ่นให้เพลิดเพลินและวางจำหน่ายสินค้าของฝากอย่างครบครัน ดังนั้นอย่าลืมมาแวะเที่ยวไปในคราวเดียวกันให้ได้
จุดหมายปลายทาง