2 คืน 3 วันในเทนโดะออนเซ็น [Base! โทโฮคุ]
เทนโดะเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงในเรื่องโชกิ การออกแบบที่มีชิ้นโชกิเป็นลวดลายสามารถพบเห็นได้ทั่วเมืองน้ำพุร้อน
ลองเดินทางไปสัมผัสประสบการณ์สักการะภูเขาเช่นยามาเดระและเดวะซันซัน และสัมผัสวัฒนธรรมญี่ปุ่นอย่างลึกซึ้งกันเถอะ
เริ่มต้น
วันที่ 1
วัดยะมะเดะระ (วัดโฮจุซังริชชะคุจิ)
วัดโบราณท่ามกลางท้องฟ้าเปิดโล่งซึ่งประพันธ์ออกมาเป็นกลอนชื่อดังโดยนักกวีผู้เลื่องชื่อ
""วัดโฮจุซังริชชะคุจิ"" รู้จักกันในชื่อ ""วัดยะมะเดะระ"" ภูเขาที่เกิดมาจากหินรูปร่างพิสดารแห่งนี้เป็นสถานปฏิบัติธรรมและสถานที่สำหรับสักการะบูชา เส้นทางปีนเขาจากปากทางขึ้นมาถึงไดบุตสึเด็นในโอะคุโนะอินจะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง และระหว่างทางคุณจะได้เห็นทิวทัศน์ตระการตาตลอดทาง นอกจากนี้ ยังเป็นที่รู้จักจากบทกลอนในบันทึกการเดินทาง ""โอะคุโนะโฮะโสะมิจิ"" ของนักกวีชื่อดังนามว่ามัตสึโอะ บะโช และท่อนที่รู้จักกันดีคือ ""ท่ามกลางความเงียบงัน เสียงจิ้งหรีดร้องดังระงม แทรกซึมลึกหินผา""
การขึ้นบันไดหินทอดยาวถึง 1,015 ขั้นและมุ่งหน้าสู่โอะคุโนะอินเป็นเส้นทางสักการะพื้นฐาน เป็นบันไดหินสำหรับปฏิบัติธรรมเพราะกล่าวกันว่าการขึ้นบันไดหินนี้จะช่วยตัดกิเลสได้ ถึงบอกว่าเป็นการปฏิบัติธรรม แต่ระหว่างทางก็เต็มไปด้วยจุดน่าสนใจมากมายที่มีร่องรอยประวัติศาสตร์อย่างแผ่นศิลาจารึกและจุดที่มีวิวสวยงามตระการตา คุณจึงสามารถที่จะขึ้นบันไดพลางเพลิดเพลินทั้งในด้านสติปัญญาและด้านความรู้สึกได้
อันดับแรกให้มุ่งหน้าไป “คนโปชูโด” ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากปากทางขึ้นเขา กล่าวกันว่าเป็นสถาปัตยกรรมไม้บีชเก่าแก่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่นและได้รับการกำหนดเป็นทรัพย์สินทางวัฒนธรรมที่สำคัญของญี่ปุ่น “มิดาโฮระ” เป็นพาวเวอร์สปอตที่จะทำให้คนมีความสุขหากพบพระพุทธรูปบนกำแพงหินซึ่งถูกกัดเซาะโดยลมฝน พอผ่าน “นิโอมง (ประตูเทวาพิทักษ์)” ที่มีรูปหล่อนักรบ 2 องค์กำลังเฝ้าจับตาดูเพื่อไม่ให้ผู้มีจิตใจชั่วร้ายผ่านแล้วก็จะพบกับ “ไคซังโด โนเคียวโด” โนเคียวโดสีแดงที่ตั้งตระหง่านอยู่บนหินหน้าตาประหลาดก้อนยักษ์โดยมีภูเขายิ่งใหญ่อลังการเป็นฉากหลังนั้นเป็นวิวอันโดดเด่นของวัดยะมะเดะระ “โกไดโด” ที่มองเห็นทิวทัศน์ไร่สวนมาจากด้านในอุโบสถอันคล้ายคลึงกับเวทีการแสดงละครโนก็เป็นจุดชมวิวเพียงแห่งเดียวของวัดยะมะเดะระ กล่าวกันว่า “โอะคุโนะอิน ไดบุตสึเด็น” ที่อยู่ปลายทางจะช่วยตัดโชคชะตาชั่วร้ายได้
อย่าลืมมาเพลิดเพลินกับอาหารขึ้นชื่อด้วย เช่น “ยะมะเดะระชิคาระคอนเนียคุ (หัวบุก)” “ซอฟต์ครีมเชอร์รี” และ “ดาชิโซบะ”
การขึ้นบันไดหินทอดยาวถึง 1,015 ขั้นและมุ่งหน้าสู่โอะคุโนะอินเป็นเส้นทางสักการะพื้นฐาน เป็นบันไดหินสำหรับปฏิบัติธรรมเพราะกล่าวกันว่าการขึ้นบันไดหินนี้จะช่วยตัดกิเลสได้ ถึงบอกว่าเป็นการปฏิบัติธรรม แต่ระหว่างทางก็เต็มไปด้วยจุดน่าสนใจมากมายที่มีร่องรอยประวัติศาสตร์อย่างแผ่นศิลาจารึกและจุดที่มีวิวสวยงามตระการตา คุณจึงสามารถที่จะขึ้นบันไดพลางเพลิดเพลินทั้งในด้านสติปัญญาและด้านความรู้สึกได้
อันดับแรกให้มุ่งหน้าไป “คนโปชูโด” ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากปากทางขึ้นเขา กล่าวกันว่าเป็นสถาปัตยกรรมไม้บีชเก่าแก่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่นและได้รับการกำหนดเป็นทรัพย์สินทางวัฒนธรรมที่สำคัญของญี่ปุ่น “มิดาโฮระ” เป็นพาวเวอร์สปอตที่จะทำให้คนมีความสุขหากพบพระพุทธรูปบนกำแพงหินซึ่งถูกกัดเซาะโดยลมฝน พอผ่าน “นิโอมง (ประตูเทวาพิทักษ์)” ที่มีรูปหล่อนักรบ 2 องค์กำลังเฝ้าจับตาดูเพื่อไม่ให้ผู้มีจิตใจชั่วร้ายผ่านแล้วก็จะพบกับ “ไคซังโด โนเคียวโด” โนเคียวโดสีแดงที่ตั้งตระหง่านอยู่บนหินหน้าตาประหลาดก้อนยักษ์โดยมีภูเขายิ่งใหญ่อลังการเป็นฉากหลังนั้นเป็นวิวอันโดดเด่นของวัดยะมะเดะระ “โกไดโด” ที่มองเห็นทิวทัศน์ไร่สวนมาจากด้านในอุโบสถอันคล้ายคลึงกับเวทีการแสดงละครโนก็เป็นจุดชมวิวเพียงแห่งเดียวของวัดยะมะเดะระ กล่าวกันว่า “โอะคุโนะอิน ไดบุตสึเด็น” ที่อยู่ปลายทางจะช่วยตัดโชคชะตาชั่วร้ายได้
อย่าลืมมาเพลิดเพลินกับอาหารขึ้นชื่อด้วย เช่น “ยะมะเดะระชิคาระคอนเนียคุ (หัวบุก)” “ซอฟต์ครีมเชอร์รี” และ “ดาชิโซบะ”
น้ำตกเซคิยามะ
น้ำที่ตกลงมาอย่างอลังการ แอ่งน้ำใต้น้ำตกสีเขียวมรกตก็งดงาม
น้ำที่ตกลงมาอย่างอลังการในหุบเขาอันเต็มไปด้วยหินรูปร่างแปลกตา น้ำตกมีความสูง 10 เมตร และกว้าง 15 เมตร แอ่งน้ำใต้น้ำตกสีเขียวมรกตก็งดงามและเป็นสถานที่ท่องเที่ยวดีๆ ที่ไม่ค่อยมีคนรู้จักซึ่งจะให้คุณได้สัมผัสกับไอออนลบได้แบบง่ายๆ สบายๆ
น้ำตกเซคิยามะอยู่ติดด้านหลัง “โอทาคิไดร์ฟอิน อิซุมิยะ” ริมถนนหลวงหมายเลข 48 หน้าตาร้านยังคงเหมือนสมัยก่อนโดยมีทั้งร้านจำหน่ายสินค้าของฝากและร้านอาหาร สามารถมองเห็นน้ำตกได้จากที่นั่งริมหน้าต่าง คุณสามารถมาเอร็ดอร่อยกับการทานอาหารอย่างปลาอะยุ ปลาอิวานะ ทามะคอนยัคกุ ข้าวปั้นย่างซอสมิโซะ และโอเด้งพลางฟังเสียงน้ำตกได้
ไฮไลต์อีกอย่างอยู่ตรงน้ำตกที่มองลงมาจากข้างบน แต่น้ำตกที่มองขึ้นมาจากข้างล่างก็จะทำให้รู้สึกถึงความทรงพลังเช่นกัน ลงบันไดแคบๆ ที่มีระดับความสูงต่ำและข้ามสะพานสีแดงไปแอ่งน้ำใต้น้ำตก ในฤดูร้อนที่เป็นฤดูกาลที่ดีที่สุดนั้นจะมีใบไม้สีเขียวขจีสะท้อนอยู่บนแม่น้ำใสและเต็มไปด้วยน้ำสีเขียวมรกต จึงมีคนที่ลงไปเล่นน้ำในแอ่งน้ำใต้น้ำตกราวกับเป็นสระน้ำธรรมชาติ น้ำสวยใสจนมองเห็นปลาอิวานะได้ในบางครั้ง
ช่วงกลางเดือนตุลาคม - ต้นเดือนพฤศจิกายนจะมีใบไม้เปลี่ยนสีมาแต่งแต้มสีสันให้กับหุบเขา “โอคัตสึระ” ที่ตั้งตระหง่านอยู่ใกล้น้ำตกและได้รับเลือกเป็นอนุสาวรีย์ธรรมชาติแห่งจังหวัดยะมะกะตะก็เป็นจุดน่าชมอีกแห่ง
การสามารถชมน้ำตกวิวหิมะในฤดูหนาวได้แบบสบายๆ ก็เป็นจุดที่น่าดีใจเช่นกัน เดินจากลานจอดรถไปเพียง 1 นาทีก็จะเห็นน้ำตกเซคิยามะที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ
น้ำตกเซคิยามะอยู่ติดด้านหลัง “โอทาคิไดร์ฟอิน อิซุมิยะ” ริมถนนหลวงหมายเลข 48 หน้าตาร้านยังคงเหมือนสมัยก่อนโดยมีทั้งร้านจำหน่ายสินค้าของฝากและร้านอาหาร สามารถมองเห็นน้ำตกได้จากที่นั่งริมหน้าต่าง คุณสามารถมาเอร็ดอร่อยกับการทานอาหารอย่างปลาอะยุ ปลาอิวานะ ทามะคอนยัคกุ ข้าวปั้นย่างซอสมิโซะ และโอเด้งพลางฟังเสียงน้ำตกได้
ไฮไลต์อีกอย่างอยู่ตรงน้ำตกที่มองลงมาจากข้างบน แต่น้ำตกที่มองขึ้นมาจากข้างล่างก็จะทำให้รู้สึกถึงความทรงพลังเช่นกัน ลงบันไดแคบๆ ที่มีระดับความสูงต่ำและข้ามสะพานสีแดงไปแอ่งน้ำใต้น้ำตก ในฤดูร้อนที่เป็นฤดูกาลที่ดีที่สุดนั้นจะมีใบไม้สีเขียวขจีสะท้อนอยู่บนแม่น้ำใสและเต็มไปด้วยน้ำสีเขียวมรกต จึงมีคนที่ลงไปเล่นน้ำในแอ่งน้ำใต้น้ำตกราวกับเป็นสระน้ำธรรมชาติ น้ำสวยใสจนมองเห็นปลาอิวานะได้ในบางครั้ง
ช่วงกลางเดือนตุลาคม - ต้นเดือนพฤศจิกายนจะมีใบไม้เปลี่ยนสีมาแต่งแต้มสีสันให้กับหุบเขา “โอคัตสึระ” ที่ตั้งตระหง่านอยู่ใกล้น้ำตกและได้รับเลือกเป็นอนุสาวรีย์ธรรมชาติแห่งจังหวัดยะมะกะตะก็เป็นจุดน่าชมอีกแห่ง
การสามารถชมน้ำตกวิวหิมะในฤดูหนาวได้แบบสบายๆ ก็เป็นจุดที่น่าดีใจเช่นกัน เดินจากลานจอดรถไปเพียง 1 นาทีก็จะเห็นน้ำตกเซคิยามะที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ
วันที่ 2
เมืองนิชิคาวะ จังหวัดยามากาตะ ทางเข้าสักการะเดวะซันซัง ทางออกสามทาง ทัวร์ทางหลวง
มีทางเข้าสักการะสามทางที่เดวะซันซังจากเมืองนิชิคาวะ มีศาลเจ้าอยู่ที่ทางเข้าแต่ละแห่ง: ศาลเจ้าอิวาเนซาวะ ซันซังที่ทางออกอิวาเนซาวะ, ศาลเจ้าฮอนโดะเทระกุชิโนมิยะ ยุโดโนะซังที่ฮอนโดเทระกุจิ และศาลเจ้าโออิซาวะ ยุโดโนะซังที่ทางออกโออิซาวะ นอกจากนี้ยังมีถนนที่นำไปสู่พื้นที่เหล่านี้ Rokujurikoshi Kaido ทัวร์ชมทางออกและถนนทั้งสามนี้พร้อมไกด์ การเยี่ยมชมศาลเจ้าทั้งสามแห่งแทนที่จะไปเยี่ยมชมศาลเจ้าแต่ละแห่ง คุณจะได้รับประโยชน์จากศาลเจ้าเหล่านั้นและเพิ่มความสนุกในการสำรวจประวัติศาสตร์เป็นสองเท่า
ศาลเจ้ายุโดะโนะซัง
วัดลึกในสามภูเขาแห่งเดะวะ สถานที่ศักดิ์สิทธิ์อันลึกลับ
ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ ""สามภูเขาแห่งเดะวะ"" เป็นชื่อเรียกรวมภูเขา 3 แห่ง ได้แก่ ภูเขาฮะกุโระ ภูเขากัซซัง และภูเขายุโดะโนะ ทั้งสามเขาเป็นสถานที่สำหรับอธิษฐานขอความสุข โดยภูเขาฮะกุโระสำหรับชาตินี้ ภูเขากัซซังสำหรับชาติที่แล้ว และภูเขายุโดะโนะสำหรับชาติหน้า ดังนั้นการเดินทางไปสามภูเขาแห่งเดะวะจึงเรียกกันว่าเป็น ""การเดินทางเพื่อชีวิตใหม่” ทั้งยังมีชื่อเสียงในฐานะเป็นสถานที่ที่ควรมาสักการะให้ได้สักครั้งในชีวิตจนถึงขนาดมีคำกล่าวว่า “สักการะอิเสะแห่งตะวันตกและสักการะสามภูเขาเดะวะแห่งตะวันออก”
นักบวชซึ่งผ่านการปฏิบัติธรรมที่ภูเขากัซซังและภูเขาฮะกุโระแล้วจะมาภูเขายุโดะโนะเป็นที่สุดท้าย ศาลเจ้ายุโดะโนะซังขึ้นชื่อเรื่องกฎเข้มงวด ศาลเจ้าลึกลับแห่งนี้ไม่เพียงแต่ห้ามถ่ายรูปเท่านั้น แต่ยังห้ามนำสิ่งที่เกิดขึ้นข้างในไปเล่าให้ข้างนอกฟังอย่างเด็ดขาด ตามคำที่สอนกันมาแต่โบราณว่า ""ห้ามเล่า"" ""ห้ามถาม"" ภายในบริเวณศาลเจ้าเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกตัดขาดจากโลกกิเลสภายนอกจึงต้องถอดรองเท้าก่อนเข้า การได้เดินเท้าเปล่าบนเส้นทางธุดงค์ที่มีหินและดินปนกันอาจทำให้เราสัมผัสพลังแห่งผืนดินบนภูเขาได้เต็มๆ ก็เป็นได้
ศาลเจ้ายุโดะโนะซังไม่มีวิหารหลัก และเทพเจ้าเป็นเรกังตัวใหญ่ยักษ์สีน้ำตาลแดงเข้มที่ผุดออกมาจากน้ำพุร้อนร้อนจัด ต้องเข้ารับการล้างบาปก่อนสักการะ ผู้สักการะจะได้รับการนำทางไปนมัสการเทพเจ้าหลังล้างบาป
ภูเขายุโดะโนะจะเรียกกันอีกอย่างว่า “ภูเขาแห่งความรัก” และเป็นจุดไปอธิษฐานขอให้สมหวังในความรัก “เครื่องรางภูเขาแห่งความรัก” หาซื้อได้เฉพาะที่ภูเขายุโดะโนะแห่งนี้ มันเป็นเครื่องรางเสริมดวงความรักและได้รับความนิยมในหมู่ผู้หญิง
สามารถพักค้างแรมหรือเข้าแช่ออนเซ็นโดยไม่ค้างแรมที่ซันโรโจะในยุโดะโนะซังซึ่งตั้งอยู่ข้างโทริอิอันยักษ์ได้ (ต้องจอง) ต้องโค้งคำนับแท่นบูชาในห้องอาบน้ำก่อนลงแช่
นักบวชซึ่งผ่านการปฏิบัติธรรมที่ภูเขากัซซังและภูเขาฮะกุโระแล้วจะมาภูเขายุโดะโนะเป็นที่สุดท้าย ศาลเจ้ายุโดะโนะซังขึ้นชื่อเรื่องกฎเข้มงวด ศาลเจ้าลึกลับแห่งนี้ไม่เพียงแต่ห้ามถ่ายรูปเท่านั้น แต่ยังห้ามนำสิ่งที่เกิดขึ้นข้างในไปเล่าให้ข้างนอกฟังอย่างเด็ดขาด ตามคำที่สอนกันมาแต่โบราณว่า ""ห้ามเล่า"" ""ห้ามถาม"" ภายในบริเวณศาลเจ้าเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกตัดขาดจากโลกกิเลสภายนอกจึงต้องถอดรองเท้าก่อนเข้า การได้เดินเท้าเปล่าบนเส้นทางธุดงค์ที่มีหินและดินปนกันอาจทำให้เราสัมผัสพลังแห่งผืนดินบนภูเขาได้เต็มๆ ก็เป็นได้
ศาลเจ้ายุโดะโนะซังไม่มีวิหารหลัก และเทพเจ้าเป็นเรกังตัวใหญ่ยักษ์สีน้ำตาลแดงเข้มที่ผุดออกมาจากน้ำพุร้อนร้อนจัด ต้องเข้ารับการล้างบาปก่อนสักการะ ผู้สักการะจะได้รับการนำทางไปนมัสการเทพเจ้าหลังล้างบาป
ภูเขายุโดะโนะจะเรียกกันอีกอย่างว่า “ภูเขาแห่งความรัก” และเป็นจุดไปอธิษฐานขอให้สมหวังในความรัก “เครื่องรางภูเขาแห่งความรัก” หาซื้อได้เฉพาะที่ภูเขายุโดะโนะแห่งนี้ มันเป็นเครื่องรางเสริมดวงความรักและได้รับความนิยมในหมู่ผู้หญิง
สามารถพักค้างแรมหรือเข้าแช่ออนเซ็นโดยไม่ค้างแรมที่ซันโรโจะในยุโดะโนะซังซึ่งตั้งอยู่ข้างโทริอิอันยักษ์ได้ (ต้องจอง) ต้องโค้งคำนับแท่นบูชาในห้องอาบน้ำก่อนลงแช่
วันที่ 3
ร่องรอยปราสาทยะมะกะตะและสวนคะโจ
สถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังที่มีปราสาทซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างบูรณะและอาคารทางวัฒนธรรมหลายแห่ง
ปราสาทชื่อดัง “ปราสาทยะมะกะตะ” สร้างขึ้นโดยผู้ครองแคว้นชั้นแนวหน้าของโทโฮคุในสมัยเซ็นโกคุนามว่าโมงามิ โยชิอากิ ได้รับเลือกให้เป็นร่องรอยทางประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นและปราสาทชื่อดังร้อยอันดับของญี่ปุ่น ตั้งอยู่ในเมืองยะมะกะตะและเปิดเป็นสวนคะโจให้กับบุคคลทั่วไปได้ชมหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง แต่กำลังดำเนินการขุดสำรวจและก่อสร้างบูรณะในช่วงไม่กี่ปีมานี้ ปัจจุบัน ณ ปี 2018 ได้ดำเนินการซ่อมแซมประตูปราสาทใหญ่อย่าง “ประตูโอเทะมงทิศตะวันออกของป้อมปราการชั้นนอก” และ “ประตูอิชิมงจิป้อมปราการชั้นใน” และค่อยๆ ช่วยดึงกลิ่นอายแบบสมัยโบราณกลับมา
รูปหล่อทองแดงผู้กล้าหาญภายในพื้นที่เป็นของโมงามิ โยชิอากิ แม้การสลับสับเปลี่ยนเจ้าของปราสาทยะมะกะตะจะดุเดือด แต่โยชิอากิกลายเป็นรูปหล่อทองแดงได้เพราะได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นมาเป็นผู้ครองแคว้นในยุคหนึ่งและได้รับความนิยมสูงจากการอุทิศตนช่วยพัฒนาเมือง ท่าทางองอาจตอนนำทัพไปสู่สนามรบจึงได้กลายมาเป็นรูปหล่อทองแดง
มี “พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นเมืองยะมะกะตะ (อาคารหลักไซเซคังเก่า)” ที่ปี 1969 ได้ทำการย้ายและซ่อมแซมโรงพยาบาลประจำจังหวัดยะมะกะตะซึ่งสร้างเมื่อปี 1878 และเปิดให้เข้าชมได้ฟรีด้วย มีจัดแสดงอุปกรณ์การแพทย์ ฯลฯ ในสมัยนั้น “หินคุบิอาไรอิชิบาจิ” ยังคงตั้งอยู่ข้างอาคารแห่งนี้ เป็นร่องรอยประวัติศาสตร์ที่อาจเรียกได้ว่านองเลือดเพราะเคยเป็นจุดพาดคอตอนจะปลิดชีวิตของชิโรโทริ จูโร นางาฮิสะผู้เคยเป็นคู่แค้นกับโมงามิ โยชิอากิ
สวนคะโจอันเป็นที่ตั้งของปราสาทยะมะกะตะยังเป็นจุดชมซากุระชื่อดังเพียงแห่งเดียวในอำเภอยะมะกะตะที่มีซากุระบานสะพรั่งกว่า 1,500 ต้น ฤดูซากุระจะมีการเปิดไฟประดับซากุระที่อยู่เลียบคูน้ำตั้งแต่ทิศตะวันออกจนถึงทิศใต้ นอกจากนี้ ภายในสวนและบริเวณใกล้เคียงยังมีอาคารทางวัฒนธรรมอีกมากมาย เช่น พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นเมืองยะมะกะตะดังที่กล่าวไว้ข้างต้น พิพิธภัณฑ์ประจำจังหวัดยะมะกะตะ พิพิธภัณฑ์ศิลปะยะมะกะตะ และพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์โมงามิ โยชิอากิ และได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดัง
รูปหล่อทองแดงผู้กล้าหาญภายในพื้นที่เป็นของโมงามิ โยชิอากิ แม้การสลับสับเปลี่ยนเจ้าของปราสาทยะมะกะตะจะดุเดือด แต่โยชิอากิกลายเป็นรูปหล่อทองแดงได้เพราะได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นมาเป็นผู้ครองแคว้นในยุคหนึ่งและได้รับความนิยมสูงจากการอุทิศตนช่วยพัฒนาเมือง ท่าทางองอาจตอนนำทัพไปสู่สนามรบจึงได้กลายมาเป็นรูปหล่อทองแดง
มี “พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นเมืองยะมะกะตะ (อาคารหลักไซเซคังเก่า)” ที่ปี 1969 ได้ทำการย้ายและซ่อมแซมโรงพยาบาลประจำจังหวัดยะมะกะตะซึ่งสร้างเมื่อปี 1878 และเปิดให้เข้าชมได้ฟรีด้วย มีจัดแสดงอุปกรณ์การแพทย์ ฯลฯ ในสมัยนั้น “หินคุบิอาไรอิชิบาจิ” ยังคงตั้งอยู่ข้างอาคารแห่งนี้ เป็นร่องรอยประวัติศาสตร์ที่อาจเรียกได้ว่านองเลือดเพราะเคยเป็นจุดพาดคอตอนจะปลิดชีวิตของชิโรโทริ จูโร นางาฮิสะผู้เคยเป็นคู่แค้นกับโมงามิ โยชิอากิ
สวนคะโจอันเป็นที่ตั้งของปราสาทยะมะกะตะยังเป็นจุดชมซากุระชื่อดังเพียงแห่งเดียวในอำเภอยะมะกะตะที่มีซากุระบานสะพรั่งกว่า 1,500 ต้น ฤดูซากุระจะมีการเปิดไฟประดับซากุระที่อยู่เลียบคูน้ำตั้งแต่ทิศตะวันออกจนถึงทิศใต้ นอกจากนี้ ภายในสวนและบริเวณใกล้เคียงยังมีอาคารทางวัฒนธรรมอีกมากมาย เช่น พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นเมืองยะมะกะตะดังที่กล่าวไว้ข้างต้น พิพิธภัณฑ์ประจำจังหวัดยะมะกะตะ พิพิธภัณฑ์ศิลปะยะมะกะตะ และพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์โมงามิ โยชิอากิ และได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดัง
ซากปราสาทโยะเนะซะวะและสวนมัตสึงาซากิ
หวนรำลึกถึงยุคเซ็นโกคุ ณ ซากปราสาทที่มีคูน้ำ
สวนมัตสึงาซากิมีคูน้ำที่จะทำให้หวนรำลึกถึงปราสาทโยะเนะซะวะในสมัยอดีต เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจสำหรับคนรักประวัติศาสตร์เพราะมีร่องรอยทางประวัติศาสตร์ของตระกูลอุเอะสุกิกระจายอยู่ตามจุดต่างๆ เช่น อุเอะสุกิ เคนชินที่เล่าขานกันว่าเป็นขุนพลสุดแกร่งแห่งยุคเซ็นโกคุ และอุเอะสุกิ โยซังซึ่งรู้จักกันจากคำกล่าวที่ว่า “ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร หากลงมือทำก็สำเร็จ หากไม่ลงมือทำก็ไม่สำเร็จ” ภายในบริเวณยังมี “ศาลเจ้าอุเอะสุกิ” ที่เชื่อกันว่าผลบุญจากอุเอะสุกิ เคนชินจะช่วยเสริมโชคลาภและทำให้สมหวังตามคำอธิษฐาน รวมถึง “เคโชเด็น ศาลเจ้าอุเอะสุกิ” ที่จัดแสดงทรัพย์สินทางวัฒนธรรมที่สำคัญจำนวนมากโดยเน้นข้าวของเครื่องใช้ของตระกูลอุเอะสุกิ นอกจากนี้ยังมีศิลาจารึกแสดงบ้านเกิดของดะเตะ มะซะมุเนะที่โด่งดังในฉายามังกรตาเดียว
ทั้งยังเป็นจุดชมซากุระชื่อดังและจะมีซากุระ 200 ต้นบานสะพรั่งอยู่เลียบคูน้ำเมื่อเข้าสู่ช่วงกลางถึงปลายเดือนเมษายนของทุกปี ซากุระที่สะท้อนบนผิวน้ำในคูและสีที่ตัดกันระหว่างซากุระกับสะพานสีแดงทอดข้ามคูน้ำก็มีความสวยงามเหมาะสำหรับการถ่ายภาพ ซากุระเหล่านี้จะเปลี่ยนเป็นสีส้มสดใสเมื่อเข้าสู่ช่วงปลายเดือนตุลาคม - ต้นเดือนพฤศจิกายน และทำให้ผู้มาชมได้เพลินตากัน
ด้านข้างติดกับสวนมี “ศาลเจ้ามัตสึงาซากิ” ที่บูชาอุเอะสุกิ โยซัง และร้าน “อุเอะสุกิโจชิเอ็น"" ที่มีอาหารท้องถิ่นให้เพลิดเพลินและวางจำหน่ายสินค้าของฝากอย่างครบครัน ดังนั้นอย่าลืมมาแวะเที่ยวไปในคราวเดียวกันให้ได้
ทั้งยังเป็นจุดชมซากุระชื่อดังและจะมีซากุระ 200 ต้นบานสะพรั่งอยู่เลียบคูน้ำเมื่อเข้าสู่ช่วงกลางถึงปลายเดือนเมษายนของทุกปี ซากุระที่สะท้อนบนผิวน้ำในคูและสีที่ตัดกันระหว่างซากุระกับสะพานสีแดงทอดข้ามคูน้ำก็มีความสวยงามเหมาะสำหรับการถ่ายภาพ ซากุระเหล่านี้จะเปลี่ยนเป็นสีส้มสดใสเมื่อเข้าสู่ช่วงปลายเดือนตุลาคม - ต้นเดือนพฤศจิกายน และทำให้ผู้มาชมได้เพลินตากัน
ด้านข้างติดกับสวนมี “ศาลเจ้ามัตสึงาซากิ” ที่บูชาอุเอะสุกิ โยซัง และร้าน “อุเอะสุกิโจชิเอ็น"" ที่มีอาหารท้องถิ่นให้เพลิดเพลินและวางจำหน่ายสินค้าของฝากอย่างครบครัน ดังนั้นอย่าลืมมาแวะเที่ยวไปในคราวเดียวกันให้ได้
ศาลเจ้าอุเอะสุงิ
พาวเวอร์สปอตที่บูชานักรบสุดแกร่งแห่งยุคเซ็นโกคุอย่างอุเอะสุกิ เคนชินเป็นเทพเจ้าประจำศาลเจ้า
ศาลเจ้าอุเอะสุกิสร้างทับซากป้อมปราการชั้นในของปราสาทโยะเนะซะวะเพื่อให้เป็นที่บูชาของอุเอะสุกิ เคนชินซึ่งเล่าขานกันว่าเป็นนักรบสุดแกร่งแห่งยุคเซ็นโกคุ ที่นี่เป็นพาวเวอร์สปอตที่เชื่อกันว่าผลบุญจากอุเอะสุกิ เคนชินจะช่วยเสริมโชคลาภ สมหวังตามคำอธิษฐาน ประสบความสำเร็จด้านการเรียนและทำให้กิจการรุ่งเรือง
สะพานไมซึรุบาชิตรงทางเดินเข้าวัดมีธงที่เขียนอักษรคำว่า “บิ” กับ “ริว” โบกสะบัดอยู่ อักษรคำว่า “บิ” มาจากการที่อุเอะสุกิ เคนชินรู้สึกศรัทธาท้าวเวสสุวรรณเป็นอย่างมาก อักษรคำว่า “ริว” หมายถึงพระอจลนาถ กล่าวกันว่าเป็นธงศึกที่ชูส่งสัญญาณบุกโจมตีตอนให้ทั้งกองทัพเข้าโจมตีพร้อมกัน และเล่ากันว่าสองเทพสุดแกร่งอย่างท้าวเวสสุวรรณกับพระอจลนาถจะมาช่วยอุเอะสุกิ เคนชินตอนสู้รบเพราะเขาเป็นผู้ศรัทธาศาสนาพุทธอย่างแรงกล้า
“เคโชเด็น ศาลเจ้าอุเอะสุกิ” ที่จัดแสดงทรัพย์สินทางวัฒนธรรมที่สำคัญจำนวนมากโดยเน้นข้าวของเครื่องใช้ของตระกูลอุเอะสุกิก็เป็นจุดที่คนรักประวัติศาสตร์ไม่ควรพลาดมาชม ทั้งยังมีหมวกเกราะชื่อดังที่ดีไซน์มาจากตัวอักษรคำว่า “ไอ (รัก)” ของนายพลผู้ชำนาญทั้งยุทธการและวิทยาการนามว่านาโอเอะ คาเนสึงุด้วย
เป็นทั้งจุดชมซากุระชื่อดังที่ซากุระ 200 ต้นเลียบคูน้ำจะบานสะพรั่งเมื่อเข้าสู่ช่วงกลางถึงปลายเดือนเมษายนของทุกปี “เทศกาลโยะเนะซะวะอุเอะสุกิ” จะจัดขึ้นวันที่ 29 เมษายน - 3 พฤษภาคมเป็นประจำทุกปี ในงานจะมี “พาเหรดอุเอะสุกิ” ซึ่งเป็นขบวนของคนสวมชุดเกราะสวยงามอลังการรวมกว่าหนึ่งพันและอีกหลายร้อยคน รวมถึง “ศึกคาวานากะจิมะ” ซึ่งจำลองการสู้รบครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ยุคเซ็นโกคุให้ได้ชมกัน “เทศกาลโคมไฟหิมะอุเอะสุกิ” จะจัดขึ้นทุกวันเสาร์และอาทิตย์ที่ 2 ของเดือนกุมภาพันธ์ เทียนในโคมไฟหิมะกว่า 300 โคมและอุโมงค์หิมะกว่า 1,000 อันจะถูกจุดสว่างไสวและสร้างให้เกิดบรรยากาศสวยงามน่ามหัศจรรย์
“ศาลเจ้ามัตสึงาซากิ” ที่บูชาอุเอะสุกิ โยซังเป็นเทพประจำศาลเจ้าซึ่งรู้จักกันมาจากคำกล่าวที่ว่า “ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร หากลงมือทำก็สำเร็จ หากไม่ลงมือทำก็ไม่สำเร็จ” นั้นเป็นศาลเจ้าเสริมของศาลเจ้าอุเอะสุกิ ตั้งอยู่ไม่ไกลจากศาลเจ้าอุเอะสุกิ ฉะนั้นอย่าลืมไปสักการะพร้อมกันให้ได้ค่ะ
สะพานไมซึรุบาชิตรงทางเดินเข้าวัดมีธงที่เขียนอักษรคำว่า “บิ” กับ “ริว” โบกสะบัดอยู่ อักษรคำว่า “บิ” มาจากการที่อุเอะสุกิ เคนชินรู้สึกศรัทธาท้าวเวสสุวรรณเป็นอย่างมาก อักษรคำว่า “ริว” หมายถึงพระอจลนาถ กล่าวกันว่าเป็นธงศึกที่ชูส่งสัญญาณบุกโจมตีตอนให้ทั้งกองทัพเข้าโจมตีพร้อมกัน และเล่ากันว่าสองเทพสุดแกร่งอย่างท้าวเวสสุวรรณกับพระอจลนาถจะมาช่วยอุเอะสุกิ เคนชินตอนสู้รบเพราะเขาเป็นผู้ศรัทธาศาสนาพุทธอย่างแรงกล้า
“เคโชเด็น ศาลเจ้าอุเอะสุกิ” ที่จัดแสดงทรัพย์สินทางวัฒนธรรมที่สำคัญจำนวนมากโดยเน้นข้าวของเครื่องใช้ของตระกูลอุเอะสุกิก็เป็นจุดที่คนรักประวัติศาสตร์ไม่ควรพลาดมาชม ทั้งยังมีหมวกเกราะชื่อดังที่ดีไซน์มาจากตัวอักษรคำว่า “ไอ (รัก)” ของนายพลผู้ชำนาญทั้งยุทธการและวิทยาการนามว่านาโอเอะ คาเนสึงุด้วย
เป็นทั้งจุดชมซากุระชื่อดังที่ซากุระ 200 ต้นเลียบคูน้ำจะบานสะพรั่งเมื่อเข้าสู่ช่วงกลางถึงปลายเดือนเมษายนของทุกปี “เทศกาลโยะเนะซะวะอุเอะสุกิ” จะจัดขึ้นวันที่ 29 เมษายน - 3 พฤษภาคมเป็นประจำทุกปี ในงานจะมี “พาเหรดอุเอะสุกิ” ซึ่งเป็นขบวนของคนสวมชุดเกราะสวยงามอลังการรวมกว่าหนึ่งพันและอีกหลายร้อยคน รวมถึง “ศึกคาวานากะจิมะ” ซึ่งจำลองการสู้รบครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ยุคเซ็นโกคุให้ได้ชมกัน “เทศกาลโคมไฟหิมะอุเอะสุกิ” จะจัดขึ้นทุกวันเสาร์และอาทิตย์ที่ 2 ของเดือนกุมภาพันธ์ เทียนในโคมไฟหิมะกว่า 300 โคมและอุโมงค์หิมะกว่า 1,000 อันจะถูกจุดสว่างไสวและสร้างให้เกิดบรรยากาศสวยงามน่ามหัศจรรย์
“ศาลเจ้ามัตสึงาซากิ” ที่บูชาอุเอะสุกิ โยซังเป็นเทพประจำศาลเจ้าซึ่งรู้จักกันมาจากคำกล่าวที่ว่า “ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร หากลงมือทำก็สำเร็จ หากไม่ลงมือทำก็ไม่สำเร็จ” นั้นเป็นศาลเจ้าเสริมของศาลเจ้าอุเอะสุกิ ตั้งอยู่ไม่ไกลจากศาลเจ้าอุเอะสุกิ ฉะนั้นอย่าลืมไปสักการะพร้อมกันให้ได้ค่ะ
จุดหมายปลายทาง