เส้นทางวัฒนธรรมซามูไรและปราสาทในโทโฮคุ
- เวลาที่จำเป็น : 2 คืน 3 วัน
- วิธีเดินทางหลัก : รถยนต์
นี่คือเส้นทางที่จะพาคุณไปสู่วัฒนธรรมซามูไรของโทโฮคุ รวมถึงไอซุ วากามัตสึ หรือที่รู้จักกันในชื่อเมืองซามูไร และปราสาทเซนได รวมถึงโออุจิจูกุ ซึ่งคุณจะได้สัมผัสประสบการณ์สวมชุดเกราะที่ปราสาทชิโรอิชิและยังคงรักษาภูมิทัศน์เมืองในอดีตไว้
(โคริยามะ - ไอซุ - โยเนซาวะ - ชิโรอิชิ - เซนได)
ญี่ปุ่นในอีกรูปแบบหนึ่ง เส้นทางขับรถสำรวจโทโฮคุ ~ทริปสำรวจสี่ฤดูกาลและประวัติอันยาวนานของโทโฮคุ~
เริ่มต้น
วันที่ 1
เซนได/สนามบินฟุกุชิมะ/สถานีโคริยามะ
หมู่บ้านโออุจิจูคุ
ชมสภาพของญี่ปุ่นในสมัยวันวานอันแสนสุขได้ที่นี่
หมู่บ้านโออุจิจูคุเป็นเมืองสำหรับพักแรมระหว่างทาง เปิดเมื่อประมาณศตวรรษที่ 17 และได้รับเลือกให้เป็นกลุ่มอาคารที่สำคัญทางด้านวัฒนธรรมของประเทศญี่ปุ่น จากถนนที่เรียงรายไปด้วยบ้านหลังคามุงจาก คุณจะสัมผัสได้ถึงบรรยากาศในยุคสมัยเอโดะ และยังมีพื้นที่จัดแสดงเครื่องมือเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันและเตาไฟที่บ่งบอกถึงประเพณีในสมัยนั้น ให้คุณรู้สึกเหมือนได้ย้อนอดีตกลับไปในยุคนั้น
เมื่อเดินไปตามถนนสายหลัก จะพบกับประตูโทริอิของศาลเจ้าทาคาคุระ ผู้พิทักษ์หมู่บ้าน หากคุณเดินผ่านประตูโทริอินั้นไป คุณจะพบกับพื้นที่ที่เงียบสงบสำหรับการเดินเตร็ดเตร่ หากคุณขึ้นบันไดของศาลเจ้าที่ลาดสูงขึ้นไป คุณจะพบกับจุดชมวิวที่สามารถมองลงมาเห็นหมู่บ้านโออุจิจูคุได้
มีร้านขายของที่ระลึกและร้านอาหารหลายร้านตั้งเรียงราย และในบรรดาอาหารเหล่านั้นจะมูเมนู "เนงิโซบะ" ซึ่งใช้ต้นหอมญี่ปุ่นในการรับประทานแทนการใช้ตะเกียบ จะเป็นเมนูที่มีดีทั้งรสชาติและรูปถ่ายที่ถ่ายออกมาด้วย นอกจากนี้ยังมีอาหารอื่นๆ ได้แก่ "โทจิโมจิ" ซึ่งทำจากผลเกาลัดม้าญี่ปุ่นผสมกับข้าวเหนียว และ "ชิงโกโร่” ที่มีเอกลักษณ์อยู่ที่หน้าตาที่คล้ายกับขนมดังโงะซึ่งปรุงด้วยจูเน็นมิโสะ (มิโสะงาขี้ม้อน) และอื่นๆ ซึ่งการเดินไปชิมไปก็ถือเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมสนุกเช่นกัน
นอกจากนี้ยังอยู่ใกล้กับจุดชมวิว "หน้าผาหินโทโนะเฮทสึริ" ซึ่งถูกกำหนดให้เป็นอนุสรณ์สถานทางธรรมชาติของประเทศญี่ปุ่น จึงอยากแนะนำให้ท่านแวะมาเยี่ยมชมไปพร้อมๆ กัน
เมื่อเดินไปตามถนนสายหลัก จะพบกับประตูโทริอิของศาลเจ้าทาคาคุระ ผู้พิทักษ์หมู่บ้าน หากคุณเดินผ่านประตูโทริอินั้นไป คุณจะพบกับพื้นที่ที่เงียบสงบสำหรับการเดินเตร็ดเตร่ หากคุณขึ้นบันไดของศาลเจ้าที่ลาดสูงขึ้นไป คุณจะพบกับจุดชมวิวที่สามารถมองลงมาเห็นหมู่บ้านโออุจิจูคุได้
มีร้านขายของที่ระลึกและร้านอาหารหลายร้านตั้งเรียงราย และในบรรดาอาหารเหล่านั้นจะมูเมนู "เนงิโซบะ" ซึ่งใช้ต้นหอมญี่ปุ่นในการรับประทานแทนการใช้ตะเกียบ จะเป็นเมนูที่มีดีทั้งรสชาติและรูปถ่ายที่ถ่ายออกมาด้วย นอกจากนี้ยังมีอาหารอื่นๆ ได้แก่ "โทจิโมจิ" ซึ่งทำจากผลเกาลัดม้าญี่ปุ่นผสมกับข้าวเหนียว และ "ชิงโกโร่” ที่มีเอกลักษณ์อยู่ที่หน้าตาที่คล้ายกับขนมดังโงะซึ่งปรุงด้วยจูเน็นมิโสะ (มิโสะงาขี้ม้อน) และอื่นๆ ซึ่งการเดินไปชิมไปก็ถือเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมสนุกเช่นกัน
นอกจากนี้ยังอยู่ใกล้กับจุดชมวิว "หน้าผาหินโทโนะเฮทสึริ" ซึ่งถูกกำหนดให้เป็นอนุสรณ์สถานทางธรรมชาติของประเทศญี่ปุ่น จึงอยากแนะนำให้ท่านแวะมาเยี่ยมชมไปพร้อมๆ กัน
ปราสาทสึรุกะ
ปราสาทกระเบื้องสีแดงแสนงามเพียงแห่งเดียวในญี่ปุ่น
เรียกกันอีกอย่างว่า “ปราสาทไอซุ” หรือ “ปราสาทไอซุวะคะมัตสึ” เพราะในสงครามโบชินในปี 1868 ตัวปราสาทต้านทานการโจมตีอันดุเดือดของกองทหารรัฐบาลชุดใหม่ได้เป็นระยะเวลาประมาณ 1 เดือนจนเป็นที่รู้จักกันในฉายาว่า “ปราสาทไร้พ่าย”
ปราสาทสึรุกะได้รับเลือกเป็นหนึ่งในร้อยปราสาทชื่อดังของญี่ปุ่น สร้างใหม่เมื่อปี 1965 และปรับปรุงเรื่อยมา จนกระทั่งปี 2011 จึงปู ""กระเบื้องสีแดง” ที่สร้างเลียนแบบสมัยศตวรรษที่ 17 ได้เสร็จสิ้น และกลายเป็นปราสาทเพียงแห่งเดียวในญี่ปุ่นที่มีกระเบื้องสีแดงให้ชม นอกจากนี้ กำแพงหินของตัวปราสาทยังรอดพ้นแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในปี 1611 มาได้ ปัจจุบันจึงยังคงสภาพดีให้ได้ชมเหมือนเมื่อครั้งในอดีต
ภายในตัวปราสาทกลายเป็นพิพิธภัณฑ์และจากชั้นบนสุดจะสามารถชมทิวทัศน์ของเมืองรอบปราสาทไอซุวะคะมัตสึได้แบบสุดลูกหูลูกตาภายในสวนปราสาทสึรุกะมี “ห้องชารินคาคุ” ซึ่งกล่าวกันว่าสร้างขึ้นมาโดยโชอัน บุตรของเซ็นโนะริคิว จึงมีน้ำชาและขนมให้เพลิดเพลินกันได้ภายในสวน
ทั้งยังรู้จักกันว่าเป็นจุดชมซากุระชื่อดัง ในฤดูใบไม้ผลิซากุระกว่า 1,000 ต้นจะบานสะพรั่งเต็มสวนและช่วงกลางคืนจะมีการเปิดไฟประดับด้วย นอกจากจะมีการประดับไฟช่วงใบไม้เปลี่ยนสีในฤดูใบไม้ร่วงแล้ว “เทศกาลเทียนประดับภาพวาดแห่งเมืองไอซุ” ที่จัดขึ้นในฤดูหนาวก็มีวิวหิมะน่ามหัศจรรย์ที่ส่องสว่างจากแสงของเทียนไขให้ได้เพลิดเพลินกันและมีคนมาชมกันอย่างหนาแน่น
ปราสาทสึรุกะได้รับเลือกเป็นหนึ่งในร้อยปราสาทชื่อดังของญี่ปุ่น สร้างใหม่เมื่อปี 1965 และปรับปรุงเรื่อยมา จนกระทั่งปี 2011 จึงปู ""กระเบื้องสีแดง” ที่สร้างเลียนแบบสมัยศตวรรษที่ 17 ได้เสร็จสิ้น และกลายเป็นปราสาทเพียงแห่งเดียวในญี่ปุ่นที่มีกระเบื้องสีแดงให้ชม นอกจากนี้ กำแพงหินของตัวปราสาทยังรอดพ้นแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในปี 1611 มาได้ ปัจจุบันจึงยังคงสภาพดีให้ได้ชมเหมือนเมื่อครั้งในอดีต
ภายในตัวปราสาทกลายเป็นพิพิธภัณฑ์และจากชั้นบนสุดจะสามารถชมทิวทัศน์ของเมืองรอบปราสาทไอซุวะคะมัตสึได้แบบสุดลูกหูลูกตาภายในสวนปราสาทสึรุกะมี “ห้องชารินคาคุ” ซึ่งกล่าวกันว่าสร้างขึ้นมาโดยโชอัน บุตรของเซ็นโนะริคิว จึงมีน้ำชาและขนมให้เพลิดเพลินกันได้ภายในสวน
ทั้งยังรู้จักกันว่าเป็นจุดชมซากุระชื่อดัง ในฤดูใบไม้ผลิซากุระกว่า 1,000 ต้นจะบานสะพรั่งเต็มสวนและช่วงกลางคืนจะมีการเปิดไฟประดับด้วย นอกจากจะมีการประดับไฟช่วงใบไม้เปลี่ยนสีในฤดูใบไม้ร่วงแล้ว “เทศกาลเทียนประดับภาพวาดแห่งเมืองไอซุ” ที่จัดขึ้นในฤดูหนาวก็มีวิวหิมะน่ามหัศจรรย์ที่ส่องสว่างจากแสงของเทียนไขให้ได้เพลิดเพลินกันและมีคนมาชมกันอย่างหนาแน่น
อุโบสถสะซะเอะโด
สัมผัสประสบการณ์พิศวง! สถาปัตยกรรมไม้เพียงแห่งเดียวในโลกที่มีบันไดวนสองชั้น
""อุโบสถสะซะเอะโด (หอยตาวัว)"" ได้ชื่อนี้มาเพราะรูปร่างเหมือนทรงกระบอกม้วนและมีลักษณะภายนอกเหมือนศิลปะสามมิติ สถาปัตยกรรมไม้หกเหลี่ยมสามชั้นที่มีบันไดวนสองชั้นแบบนี้มีเพียงแห่งเดียวในโลกและเป็นสิ่งก่อสร้างที่ล้ำค่ามาก ได้รับเลือกเป็นทรัพย์สินทางวัฒนธรรมที่สำคัญของญี่ปุ่นเพราะรูปแบบสถาปัตยกรรมที่ไม่เหมือนใคร
ภายในออกแบบให้ขึ้นทางลาดเอียงระหว่างชมวิวจากหน้าต่างที่เอนเอียงได้ ทางขึ้นกับทางลงเป็นแบบวันเวย์จึงจะไม่มีการเดินสวนกัน ส่วนเรื่องที่ว่าเหตุใดถึงเกิดมาเป็นโครงสร้างแบบนี้ได้นั้นมีหลากหลายทฤษฎี ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่เลโอนาร์โด ดาวินชีประดิษฐ์คิดค้นได้เผยแพร่เข้ามาสู่ญี่ปุ่น หรือเจ้าอาวาสได้รับคำพยากรณ์มาจากในฝัน เป็นต้น แต่มันก็ยังเต็มไปด้วยปริศนา ห้ามพลาดมาสัมผัสกับความพิศวงที่ไม่รู้เลยว่าจะกลับมาถึงประตูทางเข้าตั้งแต่ตอนไหนและความมหัศจรรย์เหมือนโลกบูดเบี้ยวนี้ให้ได้ด้วยตัวเอง!
สมัยก่อนมีเจ้าแม่กวนอิมประดิษฐานอยู่ 33 องค์และกล่าวกันว่าสามารถเดินทางมาแสวงบุญกันได้ที่นี่ เป็นสถานที่เหมือนฝันจริงๆ สำหรับบุคคลทั่วไปที่ยากจะไปแสวงบุญทางฝั่งตะวันตกของญี่ปุ่น มีเครื่องรางติดอยู่เป็นจำนวนมากและแสดงให้เห็นว่ามีคนจำนวนมากแค่ไหนที่มาเยือนสถานที่แห่งนี้
มีชื่อทางการว่า “เอ็นซือซังโซโด” ตั้งอยู่บนภูเขาอีโมริซึ่งขึ้นชื่อเรื่องกองทัพเสือขาว (บัคโคไต) และตั้งติดกับ “วัดอุงะชินโด” ที่มีรูปปั้นของกองทัพเสือขาว 19 นายด้วย
ภายในออกแบบให้ขึ้นทางลาดเอียงระหว่างชมวิวจากหน้าต่างที่เอนเอียงได้ ทางขึ้นกับทางลงเป็นแบบวันเวย์จึงจะไม่มีการเดินสวนกัน ส่วนเรื่องที่ว่าเหตุใดถึงเกิดมาเป็นโครงสร้างแบบนี้ได้นั้นมีหลากหลายทฤษฎี ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่เลโอนาร์โด ดาวินชีประดิษฐ์คิดค้นได้เผยแพร่เข้ามาสู่ญี่ปุ่น หรือเจ้าอาวาสได้รับคำพยากรณ์มาจากในฝัน เป็นต้น แต่มันก็ยังเต็มไปด้วยปริศนา ห้ามพลาดมาสัมผัสกับความพิศวงที่ไม่รู้เลยว่าจะกลับมาถึงประตูทางเข้าตั้งแต่ตอนไหนและความมหัศจรรย์เหมือนโลกบูดเบี้ยวนี้ให้ได้ด้วยตัวเอง!
สมัยก่อนมีเจ้าแม่กวนอิมประดิษฐานอยู่ 33 องค์และกล่าวกันว่าสามารถเดินทางมาแสวงบุญกันได้ที่นี่ เป็นสถานที่เหมือนฝันจริงๆ สำหรับบุคคลทั่วไปที่ยากจะไปแสวงบุญทางฝั่งตะวันตกของญี่ปุ่น มีเครื่องรางติดอยู่เป็นจำนวนมากและแสดงให้เห็นว่ามีคนจำนวนมากแค่ไหนที่มาเยือนสถานที่แห่งนี้
มีชื่อทางการว่า “เอ็นซือซังโซโด” ตั้งอยู่บนภูเขาอีโมริซึ่งขึ้นชื่อเรื่องกองทัพเสือขาว (บัคโคไต) และตั้งติดกับ “วัดอุงะชินโด” ที่มีรูปปั้นของกองทัพเสือขาว 19 นายด้วย
ฮิกะชิยะมะออนเซ็น
สถานที่พักผ่อนของ “เมืองแห่งซามูไร ไอซุวะคะมัตสึ”
ฮิกะชิยะมะออนเซ็นเป็นที่รู้จักในฐานะหนึ่งในสามออนเซ็นดังแห่งโออุ ร่วมกับคะมิโนะยะมะออนเซ็นและยุโนะฮะมะออนเซ็นในจังหวัดยะมะกะตะ ที่นี่เป็นออนเซ็นที่มีธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ให้สัมผัสได้ทั้งสี่ฤดู ไม่ว่าจะเป็นซากุระในฤดูใบไม้ผลิ ใบไม้เขียวขจีในต้นฤดูร้อน ใบไม้เปลี่ยนสีในฤดูใบไม้ร่วง และการแช่น้ำร้อนชมหิมะในฤดูหนาว แถมยังเดินทางง่ายเพียงขับรถจากใจกลางเมืองไอซุวะคะมัตสึ 10 นาที เลียบแม่น้ำมีที่พักตั้งเรียงรายและยังมีร้านปาเป้ากับน้ำตกเล็กๆ มาช่วยให้บรรยากาศแบบเมืองออนเซ็นสมัยก่อน
กล่าวกันว่าน้ำพุร้อนของฮิกะชิยะมะออนเซ็นค้นพบโดยพระสงฆ์ชื่อดังนามว่าเกียวคิในศตวรรษที่ 8 และมีเอกลักษณ์ตรงเป็นน้ำพุร้อนซัลเฟตสัมผัสลื่น ทั้งยังกล่าวกันว่าจะช่วยเรื่องโรครูมาตอยด์ ความดันโลหิตสูง โรคผิวหนัง และอื่นๆ น้ำพุร้อนที่ร้อนไม่จัดจะช่วยให้อบอุ่นไปจนถึงภายในของร่างกาย ฮิจิคาตะ โทชิโซแห่งชินเซ็นกุมิเคยมารักษาบาดแผลในช่วงสงครามโบชินปี 1868 แล้วยังเป็นออนเซ็นที่เคยมีนักประพันธ์กับศิลปินอย่างโยะซะโนะ อะคิโกะ และยุเมจิ ทาเคฮิสะมาเยือนด้วย
มีสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมตั้งอยู่ใกล้ๆ ด้วย เช่น ปราสาทสึรุกะ คฤหาสน์ซามูไรไอซุ ทั้งยังแนะนำให้ใช้เป็นจุดเริ่มต้นของการท่องเที่ยวไอซุวะคะมัตสึซึ่งเรียกกันว่าเมืองแห่งซามูไร
กล่าวกันว่าน้ำพุร้อนของฮิกะชิยะมะออนเซ็นค้นพบโดยพระสงฆ์ชื่อดังนามว่าเกียวคิในศตวรรษที่ 8 และมีเอกลักษณ์ตรงเป็นน้ำพุร้อนซัลเฟตสัมผัสลื่น ทั้งยังกล่าวกันว่าจะช่วยเรื่องโรครูมาตอยด์ ความดันโลหิตสูง โรคผิวหนัง และอื่นๆ น้ำพุร้อนที่ร้อนไม่จัดจะช่วยให้อบอุ่นไปจนถึงภายในของร่างกาย ฮิจิคาตะ โทชิโซแห่งชินเซ็นกุมิเคยมารักษาบาดแผลในช่วงสงครามโบชินปี 1868 แล้วยังเป็นออนเซ็นที่เคยมีนักประพันธ์กับศิลปินอย่างโยะซะโนะ อะคิโกะ และยุเมจิ ทาเคฮิสะมาเยือนด้วย
มีสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมตั้งอยู่ใกล้ๆ ด้วย เช่น ปราสาทสึรุกะ คฤหาสน์ซามูไรไอซุ ทั้งยังแนะนำให้ใช้เป็นจุดเริ่มต้นของการท่องเที่ยวไอซุวะคะมัตสึซึ่งเรียกกันว่าเมืองแห่งซามูไร
วันที่ 2
สำรวจโรงเหล้าสาเกคิตะคาตะเดินเล่นสบายๆ
การเดินแรลลี่ที่แท้จริงที่ยอดเยี่ยมซึ่งทัวร์โรงเบียร์ 12 แห่งด้วยการเดินเท้า
การเดินขบวนชั้นยอดพร้อมรสชาติต้นตำรับที่คุณสามารถลองชิมสาเกและทัวร์โรงเหล้าสาเกพร้อมถือโชโกะต้นตำรับอยู่ในมือและฟังคำอธิบายจากผู้ผลิตเหล้า โครงการนี้เป็นโครงการที่คนแปลกหน้าสามารถเพลิดเพลินกับเทคนิคดั้งเดิมและสาเกที่มีชื่อเสียงในขณะที่เดินเล่นท่ามกลางความเขียวขจีของคิตะคาตะ แน่นอนว่าตอนจบคือคิตะคาตะราเมน!
ศาลเจ้าอุเอะสุงิ
พาวเวอร์สปอตที่บูชานักรบสุดแกร่งแห่งยุคเซ็นโกคุอย่างอุเอะสุกิ เคนชินเป็นเทพเจ้าประจำศาลเจ้า
ศาลเจ้าอุเอะสุกิสร้างทับซากป้อมปราการชั้นในของปราสาทโยะเนะซะวะเพื่อให้เป็นที่บูชาของอุเอะสุกิ เคนชินซึ่งเล่าขานกันว่าเป็นนักรบสุดแกร่งแห่งยุคเซ็นโกคุ ที่นี่เป็นพาวเวอร์สปอตที่เชื่อกันว่าผลบุญจากอุเอะสุกิ เคนชินจะช่วยเสริมโชคลาภ สมหวังตามคำอธิษฐาน ประสบความสำเร็จด้านการเรียนและทำให้กิจการรุ่งเรือง
สะพานไมซึรุบาชิตรงทางเดินเข้าวัดมีธงที่เขียนอักษรคำว่า “บิ” กับ “ริว” โบกสะบัดอยู่ อักษรคำว่า “บิ” มาจากการที่อุเอะสุกิ เคนชินรู้สึกศรัทธาท้าวเวสสุวรรณเป็นอย่างมาก อักษรคำว่า “ริว” หมายถึงพระอจลนาถ กล่าวกันว่าเป็นธงศึกที่ชูส่งสัญญาณบุกโจมตีตอนให้ทั้งกองทัพเข้าโจมตีพร้อมกัน และเล่ากันว่าสองเทพสุดแกร่งอย่างท้าวเวสสุวรรณกับพระอจลนาถจะมาช่วยอุเอะสุกิ เคนชินตอนสู้รบเพราะเขาเป็นผู้ศรัทธาศาสนาพุทธอย่างแรงกล้า
“เคโชเด็น ศาลเจ้าอุเอะสุกิ” ที่จัดแสดงทรัพย์สินทางวัฒนธรรมที่สำคัญจำนวนมากโดยเน้นข้าวของเครื่องใช้ของตระกูลอุเอะสุกิก็เป็นจุดที่คนรักประวัติศาสตร์ไม่ควรพลาดมาชม ทั้งยังมีหมวกเกราะชื่อดังที่ดีไซน์มาจากตัวอักษรคำว่า “ไอ (รัก)” ของนายพลผู้ชำนาญทั้งยุทธการและวิทยาการนามว่านาโอเอะ คาเนสึงุด้วย
เป็นทั้งจุดชมซากุระชื่อดังที่ซากุระ 200 ต้นเลียบคูน้ำจะบานสะพรั่งเมื่อเข้าสู่ช่วงกลางถึงปลายเดือนเมษายนของทุกปี “เทศกาลโยะเนะซะวะอุเอะสุกิ” จะจัดขึ้นวันที่ 29 เมษายน - 3 พฤษภาคมเป็นประจำทุกปี ในงานจะมี “พาเหรดอุเอะสุกิ” ซึ่งเป็นขบวนของคนสวมชุดเกราะสวยงามอลังการรวมกว่าหนึ่งพันและอีกหลายร้อยคน รวมถึง “ศึกคาวานากะจิมะ” ซึ่งจำลองการสู้รบครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ยุคเซ็นโกคุให้ได้ชมกัน “เทศกาลโคมไฟหิมะอุเอะสุกิ” จะจัดขึ้นทุกวันเสาร์และอาทิตย์ที่ 2 ของเดือนกุมภาพันธ์ เทียนในโคมไฟหิมะกว่า 300 โคมและอุโมงค์หิมะกว่า 1,000 อันจะถูกจุดสว่างไสวและสร้างให้เกิดบรรยากาศสวยงามน่ามหัศจรรย์
“ศาลเจ้ามัตสึงาซากิ” ที่บูชาอุเอะสุกิ โยซังเป็นเทพประจำศาลเจ้าซึ่งรู้จักกันมาจากคำกล่าวที่ว่า “ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร หากลงมือทำก็สำเร็จ หากไม่ลงมือทำก็ไม่สำเร็จ” นั้นเป็นศาลเจ้าเสริมของศาลเจ้าอุเอะสุกิ ตั้งอยู่ไม่ไกลจากศาลเจ้าอุเอะสุกิ ฉะนั้นอย่าลืมไปสักการะพร้อมกันให้ได้ค่ะ
สะพานไมซึรุบาชิตรงทางเดินเข้าวัดมีธงที่เขียนอักษรคำว่า “บิ” กับ “ริว” โบกสะบัดอยู่ อักษรคำว่า “บิ” มาจากการที่อุเอะสุกิ เคนชินรู้สึกศรัทธาท้าวเวสสุวรรณเป็นอย่างมาก อักษรคำว่า “ริว” หมายถึงพระอจลนาถ กล่าวกันว่าเป็นธงศึกที่ชูส่งสัญญาณบุกโจมตีตอนให้ทั้งกองทัพเข้าโจมตีพร้อมกัน และเล่ากันว่าสองเทพสุดแกร่งอย่างท้าวเวสสุวรรณกับพระอจลนาถจะมาช่วยอุเอะสุกิ เคนชินตอนสู้รบเพราะเขาเป็นผู้ศรัทธาศาสนาพุทธอย่างแรงกล้า
“เคโชเด็น ศาลเจ้าอุเอะสุกิ” ที่จัดแสดงทรัพย์สินทางวัฒนธรรมที่สำคัญจำนวนมากโดยเน้นข้าวของเครื่องใช้ของตระกูลอุเอะสุกิก็เป็นจุดที่คนรักประวัติศาสตร์ไม่ควรพลาดมาชม ทั้งยังมีหมวกเกราะชื่อดังที่ดีไซน์มาจากตัวอักษรคำว่า “ไอ (รัก)” ของนายพลผู้ชำนาญทั้งยุทธการและวิทยาการนามว่านาโอเอะ คาเนสึงุด้วย
เป็นทั้งจุดชมซากุระชื่อดังที่ซากุระ 200 ต้นเลียบคูน้ำจะบานสะพรั่งเมื่อเข้าสู่ช่วงกลางถึงปลายเดือนเมษายนของทุกปี “เทศกาลโยะเนะซะวะอุเอะสุกิ” จะจัดขึ้นวันที่ 29 เมษายน - 3 พฤษภาคมเป็นประจำทุกปี ในงานจะมี “พาเหรดอุเอะสุกิ” ซึ่งเป็นขบวนของคนสวมชุดเกราะสวยงามอลังการรวมกว่าหนึ่งพันและอีกหลายร้อยคน รวมถึง “ศึกคาวานากะจิมะ” ซึ่งจำลองการสู้รบครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ยุคเซ็นโกคุให้ได้ชมกัน “เทศกาลโคมไฟหิมะอุเอะสุกิ” จะจัดขึ้นทุกวันเสาร์และอาทิตย์ที่ 2 ของเดือนกุมภาพันธ์ เทียนในโคมไฟหิมะกว่า 300 โคมและอุโมงค์หิมะกว่า 1,000 อันจะถูกจุดสว่างไสวและสร้างให้เกิดบรรยากาศสวยงามน่ามหัศจรรย์
“ศาลเจ้ามัตสึงาซากิ” ที่บูชาอุเอะสุกิ โยซังเป็นเทพประจำศาลเจ้าซึ่งรู้จักกันมาจากคำกล่าวที่ว่า “ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร หากลงมือทำก็สำเร็จ หากไม่ลงมือทำก็ไม่สำเร็จ” นั้นเป็นศาลเจ้าเสริมของศาลเจ้าอุเอะสุกิ ตั้งอยู่ไม่ไกลจากศาลเจ้าอุเอะสุกิ ฉะนั้นอย่าลืมไปสักการะพร้อมกันให้ได้ค่ะ
เนื้อโยะเนะซะวะ (จังหวัดยะมะกะตะ)
แอ่งโยะเนะซะวะช่วงหน้าร้อนจะมีอุณหภูมิและความชื้นสูง ส่วนหน้าหนาวก็จะหนาวจัด ความแตกต่างของอุณหูมินี้ทำให้เนื้อวัวมีไขมันแทรกและเนื้อแน่น จุดเด่นคือสัมผัสแบบละลายในปากและรสหวานของเนื้อ ในตัวเมืองโยะเนะซะวะสามารถหาร้านทานเนื้อโยะเนะซะวะได้มากมาย ทั้งร้านสเต็ก, สุกี้ยากี้, ชาบูชาบู บางร้านก็ทานได้ในราคาเอื้อมถึง
พิพิธภัณฑ์อุเอสึกิเมืองเดงโงกุ-โมริ โยเนซาวะ
การจัดแสดงสิ่งของมีค่าที่เกี่ยวข้องกับตระกูลอุเอสึกิ
พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ตั้งอยู่ติดกับสวนมัตสึงาซากิ ซึ่งเป็นที่ตั้งของปราสาทโยเนซาวะ และเป็นที่เก็บรักษาสิ่งของมีค่าที่เกี่ยวข้องกับตระกูลอุเอสึกิ ซึ่งเจริญรุ่งเรืองในฐานะตระกูลซามูไร
แน่นอนว่าจุดเด่นของพิพิธภัณฑ์คือสมบัติของชาติ ``ฉากกั้นอุเอสึกิ ราคุชู ราคุไก-ซุ'' กล่าวกันว่าฉากกั้นพับนี้แสดงภาพชีวิตประจำวันในเมืองหลวงของเกียวโต ซึ่งส่งโดยโอดะ โนบุนางะ ไปยังอุเอสึกิ เคนชิน มีการแสดงภาพผู้คนประมาณ 2,500 คน โดยไม่คำนึงถึงสถานะทางสังคมของพวกเขา และคุณยังสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับเกียวโตในขณะนั้นได้ รวมถึงสัตว์ พืช สถานที่ที่มีชื่อเสียง และเทศกาลต่างๆ โดยปกติแล้วจะมีการจัดแสดงแบบจำลอง แต่ต้นฉบับจะถูกจัดแสดงในช่วงเวลาจำกัดในช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงซึ่งเป็นช่วงที่มีการจัดนิทรรศการพิเศษ
นอกจากนี้ ยังมีนิทรรศการที่ย้อนกลับไปดูความสำเร็จของลอร์ดทาคายามะ อุเอสึกิ ผู้ปกครองลำดับที่ 9 ของแคว้นโยเนซาวะ ผู้ซึ่งทิ้งคำพูดอันโด่งดังที่ว่า ``อะไรๆ ก็สำเร็จได้ ก็ต้องทำให้สำเร็จ'' คุณสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับ ประวัติความเป็นมาของตระกูลอุเอสึกิ และวัฒนธรรมของโยเนซาวะ . มีร้านค้าในพิพิธภัณฑ์ที่ขายสินค้าออริจินัลของ Kenshin Uesugi, Takayama และ Kanetsugu Naoe และสินค้าบางชิ้นมีจำหน่ายเฉพาะที่นี่เท่านั้น
ในสวนมัตสึงาซากิที่อยู่ติดกัน มีอนุสรณ์สถานมากมายที่เกี่ยวข้องกับตระกูลอุเอสึกิ เช่น ศาลเจ้าอุเอสึกิที่ประดิษฐานอุเอสึกิเคนชิน และรูปปั้นทองสัมฤทธิ์ของทาคาซัง อุเอสึกิ อย่าลืมแวะมาเดินเล่นในสวนสาธารณะ
แน่นอนว่าจุดเด่นของพิพิธภัณฑ์คือสมบัติของชาติ ``ฉากกั้นอุเอสึกิ ราคุชู ราคุไก-ซุ'' กล่าวกันว่าฉากกั้นพับนี้แสดงภาพชีวิตประจำวันในเมืองหลวงของเกียวโต ซึ่งส่งโดยโอดะ โนบุนางะ ไปยังอุเอสึกิ เคนชิน มีการแสดงภาพผู้คนประมาณ 2,500 คน โดยไม่คำนึงถึงสถานะทางสังคมของพวกเขา และคุณยังสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับเกียวโตในขณะนั้นได้ รวมถึงสัตว์ พืช สถานที่ที่มีชื่อเสียง และเทศกาลต่างๆ โดยปกติแล้วจะมีการจัดแสดงแบบจำลอง แต่ต้นฉบับจะถูกจัดแสดงในช่วงเวลาจำกัดในช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงซึ่งเป็นช่วงที่มีการจัดนิทรรศการพิเศษ
นอกจากนี้ ยังมีนิทรรศการที่ย้อนกลับไปดูความสำเร็จของลอร์ดทาคายามะ อุเอสึกิ ผู้ปกครองลำดับที่ 9 ของแคว้นโยเนซาวะ ผู้ซึ่งทิ้งคำพูดอันโด่งดังที่ว่า ``อะไรๆ ก็สำเร็จได้ ก็ต้องทำให้สำเร็จ'' คุณสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับ ประวัติความเป็นมาของตระกูลอุเอสึกิ และวัฒนธรรมของโยเนซาวะ . มีร้านค้าในพิพิธภัณฑ์ที่ขายสินค้าออริจินัลของ Kenshin Uesugi, Takayama และ Kanetsugu Naoe และสินค้าบางชิ้นมีจำหน่ายเฉพาะที่นี่เท่านั้น
ในสวนมัตสึงาซากิที่อยู่ติดกัน มีอนุสรณ์สถานมากมายที่เกี่ยวข้องกับตระกูลอุเอสึกิ เช่น ศาลเจ้าอุเอสึกิที่ประดิษฐานอุเอสึกิเคนชิน และรูปปั้นทองสัมฤทธิ์ของทาคาซัง อุเอสึกิ อย่าลืมแวะมาเดินเล่นในสวนสาธารณะ
[คามิโนยามะออนเซ็น] พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นปราสาทคามิโนยามะ
ปราสาทคามิโนยามะเคยเป็นที่รู้จักในนาม ``ปราสาทที่มีชื่อเสียงแห่งอูชู'' ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นที่พลุกพล่าน
ปราสาทคามิโนยามะ (หรือที่รู้จักกันในชื่อปราสาทสึกิโอกะ) กล่าวกันว่าสร้างขึ้นในปี 1535 โดยมุเอ โยชิทาดะ ในสึกิโอกะ/เท็นจินโมริ
ในช่วงยุคเซ็นโงกุ ที่นี่เป็นป้อมปราการทางใต้สุดของตระกูลโมกามิ และทำหน้าที่เป็นเวทีสำหรับการต่อสู้กับตระกูลดาเตะแห่งโยเนซาวะและตระกูลอุเอสึกิ
ในสมัยเอโดะ หลังจากที่ตระกูลโมกามิปฏิรูป มันก็กลายเป็นที่อยู่อาศัยของขุนนางศักดินาที่สืบทอดต่อกัน แต่เมืองปราสาทได้รับการพัฒนาภายใต้การปกครองของตระกูลโทกิ และปราสาทอันงดงามในเวลานั้นเป็นที่รู้จักในชื่อ ``ปราสาทอูชู ปราสาทอันโด่งดัง'' ต.
อย่างไรก็ตาม ด้วยการโอนตระกูลโทกิในปี 1692 ตระกูลนี้ได้ถูกทำลายลงตามคำสั่งของผู้สำเร็จราชการ และในปัจจุบัน คูเมืองยังคงเหลือเพียงบางส่วนเท่านั้น
ปราสาทคามิโนยามะในปัจจุบันได้รับการสร้างขึ้นใหม่เป็นครั้งแรกในรอบ 290 ปีในปี 1982 เพื่อเป็นพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นที่มีการตกแต่งภายนอกสไตล์ปราสาท
จากจุดชมวิว (หอคอยปราสาท) คุณสามารถเพลิดเพลินกับทัศนียภาพอันงดงามของเมืองและเทือกเขาซาโอะ
ไกด์อาสาสมัครนักท่องเที่ยวจะพาคุณชมรอบๆ พิพิธภัณฑ์ โปรดอย่าลังเลที่จะติดต่อเรา
คุณยังสามารถซื้อสินค้าออริจินัลและของที่ระลึกจากเมืองคามิโนยามะได้ที่ร้านปราสาทคามิยามะ คาคาชิ ชายะ
นอกจากนี้ยังมี ``บ่อแช่เท้าปราสาทคามิยามะ'' ในสถานที่ ซึ่งคุณสามารถเข้าได้อย่างอิสระพร้อมชมเทือกเขาซาโอะ
ในช่วงยุคเซ็นโงกุ ที่นี่เป็นป้อมปราการทางใต้สุดของตระกูลโมกามิ และทำหน้าที่เป็นเวทีสำหรับการต่อสู้กับตระกูลดาเตะแห่งโยเนซาวะและตระกูลอุเอสึกิ
ในสมัยเอโดะ หลังจากที่ตระกูลโมกามิปฏิรูป มันก็กลายเป็นที่อยู่อาศัยของขุนนางศักดินาที่สืบทอดต่อกัน แต่เมืองปราสาทได้รับการพัฒนาภายใต้การปกครองของตระกูลโทกิ และปราสาทอันงดงามในเวลานั้นเป็นที่รู้จักในชื่อ ``ปราสาทอูชู ปราสาทอันโด่งดัง'' ต.
อย่างไรก็ตาม ด้วยการโอนตระกูลโทกิในปี 1692 ตระกูลนี้ได้ถูกทำลายลงตามคำสั่งของผู้สำเร็จราชการ และในปัจจุบัน คูเมืองยังคงเหลือเพียงบางส่วนเท่านั้น
ปราสาทคามิโนยามะในปัจจุบันได้รับการสร้างขึ้นใหม่เป็นครั้งแรกในรอบ 290 ปีในปี 1982 เพื่อเป็นพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นที่มีการตกแต่งภายนอกสไตล์ปราสาท
จากจุดชมวิว (หอคอยปราสาท) คุณสามารถเพลิดเพลินกับทัศนียภาพอันงดงามของเมืองและเทือกเขาซาโอะ
ไกด์อาสาสมัครนักท่องเที่ยวจะพาคุณชมรอบๆ พิพิธภัณฑ์ โปรดอย่าลังเลที่จะติดต่อเรา
คุณยังสามารถซื้อสินค้าออริจินัลและของที่ระลึกจากเมืองคามิโนยามะได้ที่ร้านปราสาทคามิยามะ คาคาชิ ชายะ
นอกจากนี้ยังมี ``บ่อแช่เท้าปราสาทคามิยามะ'' ในสถานที่ ซึ่งคุณสามารถเข้าได้อย่างอิสระพร้อมชมเทือกเขาซาโอะ
ซาโอะออนเซ็น
น้ำพุร้อนที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น เปิดในปี 1900
ซาโอะออนเซ็นถูกค้นพบครั้งแรกเมื่อ 1,900 ปีที่แล้วโดยคิบิทากาโยชิ ซึ่งทำหน้าที่สำรวจทางตะวันออกของทาเครุ ทาเครุของญี่ปุ่น ในสมัยเอโดะ ที่นี่ได้รับความนิยมในฐานะจุดเริ่มต้นทางทิศตะวันตกสู่ Zao Gongen และกำลังกลายมาเป็นรีสอร์ทครบวงจร ในสมัยไทโช มีการเปิดถนนที่เชื่อมระหว่างหมู่บ้านเชิงเขาและบ่อน้ำพุร้อน และติดตั้งสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เช่น ไฟถนนและสถานีตำรวจ และพื้นที่ดังกล่าวเริ่มเริ่มตั้งหลักเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ในยุคโชวะ สกีรีสอร์ทเปิดให้บริการ และด้วยเหตุนี้ จึงมีการติดตั้งกระเช้าไฟฟ้าและถนนสำหรับเที่ยวชม ซึ่งทำให้ซาโอะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวมากยิ่งขึ้น ในเวลาเดียวกัน นอกเหนือจากโรงแรมขนาดเล็กแบบดั้งเดิม โรงแรม บำนาญ และเกสต์เฮาส์ก็เริ่มเปิดทีละแห่ง ได้พัฒนาจนเป็นหนึ่งในรีสอร์ทบนภูเขาที่ครอบคลุมที่ใหญ่ที่สุดในโทโฮคุ
วันที่ 3
ปากปล่องภูเขาไฟในซาโอะ
ทะเลสาบปล่องภูเขาไฟที่จะเปลี่ยนหน้าตาไปตามแสงอาทิตย์และเป็นสัญลักษณ์แห่งภูเขาซะโอ
ภูเขาซะโอเป็นหนึ่งในร้อยภูเขาชื่อดังของญี่ปุ่นโดยตั้งอยู่ตรงรอยต่อระหว่างมิยะกิและยะมะกะตะ โอะคะมะของภูเขาซะโอคือทะเลสาบปล่องภูเขาไฟที่ล้อมรอบด้วยภูเขา 3 ลูกได้แก่ ""คัตตะดะเกะ"" ""คุมะโนะดะเกะ"" ""โกะชิกิดะเกะ"" และเป็นสัญลักษณ์ของภูเขาซะโอซึ่งดังไม่แพ้ต้นไม้น้ำแข็ง ได้ชื่อนี้มาเพราะมีรูปร่างเหมือนหม้อ (โอะคะมะ) มีอีกชื่อหนึ่งว่า ""โกะชิกินุมะ (บ่อห้าสี)"" เพราะสีน้ำจะเปลี่ยนตามแสงอาทิตย์เป็นเขียวเข้มบ้าง น้ำเงินบ้าง มีหน้าตาหลากหลายขึ้นอยู่กับว่ามองจากมุมไหนจนเป็นที่ตราตรึงใจของผู้คน มีพื้นที่รอบทะเลสาบประมาณ 1 กม. เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 325 เมตร จุดลึกที่สุดจะอยู่ที่ 27.6 เมตร แต่ไม่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่เพราะน้ำมีคุณสมบัติเป็นกรดสูง
ใช้ถนน “ซะโอเอโค่ไลน์” ที่วิ่งผ่านทิวเขาซะโอจากทิศตะวันออกจรดทิศตะวันตกไปถนน “ซะโอไฮไลน์” แล้วเดินจากปลายทางนั้นเพื่อไปจุดชมวิว ระหว่างทางจะมี “จุดพักผ่อนยอดเขาซะโอ” ซึ่งมีร้านอาหารกับร้านจำหน่ายสินค้าที่มองเห็นวิวอันสวยงามตระการตาอยู่ภายในด้วย ฤดูท่องเที่ยวของซะโอเอโค่ไลน์และซะโอไฮไลน์จะเป็นปลายเดือนเมษายน - ต้นเดือนพฤศจิกายน ควรเลี่ยงฤดูหนาวเพราะถนนจะปิดการสัญจร
บนยอดเขาคัตตะดะเกะ (1,758 เมตร) ที่จัดว่าปีนได้สบายๆ นั้นมี “โอคุโนะมิยะของศาลเจ้าคัตตะมิเนะ” ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานของซะโอกงเก็ง ใช้เวลาเดินจากโอะคะมะไปคัตตะดะเกะ 10 นาที
ขอแนะนำให้ชมโอะคะมะจากเส้นทางปีนเขา “อุมะโนะเสะ (หลังม้า)” ซึ่งทอดยาวไปถึงยอดเขาคุมะโนะดะเกะด้วย แต่เพราะเป็นเส้นทางเดินเขาที่ใช้เวลาประมาณ 1 ชม. ดังนั้นควรเตรียมตัวมาให้พร้อม ไม่ว่าจะเป็นชุดแต่งกายหรือรองเท้า
*บริเวณรอบปล่องภูเขาไฟจะมีกฎระเบียบข้อบังคับ โปรดตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับภูเขาไฟปะทุที่เว็บไซต์กรมอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่น
ใช้ถนน “ซะโอเอโค่ไลน์” ที่วิ่งผ่านทิวเขาซะโอจากทิศตะวันออกจรดทิศตะวันตกไปถนน “ซะโอไฮไลน์” แล้วเดินจากปลายทางนั้นเพื่อไปจุดชมวิว ระหว่างทางจะมี “จุดพักผ่อนยอดเขาซะโอ” ซึ่งมีร้านอาหารกับร้านจำหน่ายสินค้าที่มองเห็นวิวอันสวยงามตระการตาอยู่ภายในด้วย ฤดูท่องเที่ยวของซะโอเอโค่ไลน์และซะโอไฮไลน์จะเป็นปลายเดือนเมษายน - ต้นเดือนพฤศจิกายน ควรเลี่ยงฤดูหนาวเพราะถนนจะปิดการสัญจร
บนยอดเขาคัตตะดะเกะ (1,758 เมตร) ที่จัดว่าปีนได้สบายๆ นั้นมี “โอคุโนะมิยะของศาลเจ้าคัตตะมิเนะ” ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานของซะโอกงเก็ง ใช้เวลาเดินจากโอะคะมะไปคัตตะดะเกะ 10 นาที
ขอแนะนำให้ชมโอะคะมะจากเส้นทางปีนเขา “อุมะโนะเสะ (หลังม้า)” ซึ่งทอดยาวไปถึงยอดเขาคุมะโนะดะเกะด้วย แต่เพราะเป็นเส้นทางเดินเขาที่ใช้เวลาประมาณ 1 ชม. ดังนั้นควรเตรียมตัวมาให้พร้อม ไม่ว่าจะเป็นชุดแต่งกายหรือรองเท้า
*บริเวณรอบปล่องภูเขาไฟจะมีกฎระเบียบข้อบังคับ โปรดตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับภูเขาไฟปะทุที่เว็บไซต์กรมอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่น
ซากปราสาทเซนได
ปราสาทอันโด่งดังที่สร้างขึ้นบนภูเขาอาโอบะ
ปราสาทเซนได (ปราสาทอาโอบะ) เป็นที่ประทับของโคคุ 620,000 ตัวของดาเตะ ปราสาทแห่งนี้สร้างขึ้นบนป้อมปราการธรรมชาติที่มีความสูงประมาณ 130 เมตร ล้อมรอบด้วยหน้าผาทางทิศตะวันออกและทิศใต้ ว่ากันว่าหอคอยปราสาทไม่ได้ถูกสร้างขึ้นโดยเจตนาเพื่อหลีกเลี่ยงคำเตือนของโชกุน อิเอยาสุ โทกุกาวะ น่าเสียดายที่ปราสาทได้หายไปแล้ว และป้อมปืนด้านข้างที่สร้างขึ้นใหม่ก็เป็นสิ่งเตือนใจถึงยุคอดีต หากคุณยืนอยู่หน้ารูปปั้นขี่ม้าของเจ้าชายมาซามุเนะ คุณสามารถมองออกไปเห็นเมืองเซนไดจากมุมมองเดียวกับมาซามุเนะผู้หลงใหลในการพิชิตโลก
ที่หอนิทรรศการและวัสดุปราสาทอาโอบะ คุณสามารถชมปราสาทอาโอบะที่ได้รับการบูรณะใหม่โดยใช้คอมพิวเตอร์กราฟิก นอกจากนี้ยังมีอนุสรณ์สถานทางวรรณกรรมของดอยบันซุย กวีที่มีความเกี่ยวข้องกับเซนไดอยู่บริเวณรอบๆ ในฤดูร้อนปี พ.ศ. 2546 ได้รับการกำหนดให้เป็นโบราณสถานแห่งชาติ
พื้นที่ทั้งหมดของซากปราสาทปัจจุบันคือสวนสาธารณะอาโอบายามะ และจากซากปราสาทคุณสามารถมองเห็นเมืองเซนไดและมหาสมุทรแปซิฟิกได้ ด้านหน้ารูปปั้นทองสัมฤทธิ์ดอยบันซุย การแสดง "โคโจ โนะ ซึกิ" อัตโนมัติจะเล่นทุกๆ 30 นาที ตั้งแต่เวลา 9.00 น. - 18.00 น. จากหอคอยปราสาท คุณสามารถเพลิดเพลินกับทิวทัศน์ยามค่ำคืนของเซนได เมืองที่มีประชากรหนึ่งล้านคน
*โปรดตรวจสอบเว็บไซต์อย่างเป็นทางการ ฯลฯ เพื่อดูข้อมูลล่าสุด
ที่หอนิทรรศการและวัสดุปราสาทอาโอบะ คุณสามารถชมปราสาทอาโอบะที่ได้รับการบูรณะใหม่โดยใช้คอมพิวเตอร์กราฟิก นอกจากนี้ยังมีอนุสรณ์สถานทางวรรณกรรมของดอยบันซุย กวีที่มีความเกี่ยวข้องกับเซนไดอยู่บริเวณรอบๆ ในฤดูร้อนปี พ.ศ. 2546 ได้รับการกำหนดให้เป็นโบราณสถานแห่งชาติ
พื้นที่ทั้งหมดของซากปราสาทปัจจุบันคือสวนสาธารณะอาโอบายามะ และจากซากปราสาทคุณสามารถมองเห็นเมืองเซนไดและมหาสมุทรแปซิฟิกได้ ด้านหน้ารูปปั้นทองสัมฤทธิ์ดอยบันซุย การแสดง "โคโจ โนะ ซึกิ" อัตโนมัติจะเล่นทุกๆ 30 นาที ตั้งแต่เวลา 9.00 น. - 18.00 น. จากหอคอยปราสาท คุณสามารถเพลิดเพลินกับทิวทัศน์ยามค่ำคืนของเซนได เมืองที่มีประชากรหนึ่งล้านคน
*โปรดตรวจสอบเว็บไซต์อย่างเป็นทางการ ฯลฯ เพื่อดูข้อมูลล่าสุด
ซุยโฮเด็น สุสานที่ฝังศพของดาเตะ มาซามุเนะ บรรพบุรุษผู้ก่อตั้งเมืองเซนได
สถานที่สุดท้ายในช่วงชีวิตของดาเตะ มาซามุเนะ
สุสานซุยโฮเด็น สถานที่ฝังศพของดาเตะ มาซามุเนะ ที่ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ.1637 เป็นอาคารสุสานทรงโบราณศิลปะแบบสมัยโมโมยาม่าที่มีความงดงาม ซึ่งถึงแม้จะถูกกำหนดให้เป็นสมบัติของชาติในปี ค.ศ.1931 แต่ถูกไฟเผาทำลายเนื่องจากสงคราม โดยอาคารที่เห็นอยู่ในปัจจุบันถูกสร้างขึ้นใหม่ในปี ค.ศ.1979ภายในนอกจากจะมีสุสานรุ่นที่สองและสามแล้ว ยังมีพิพิธภัณฑ์หอจดหมายเหตุที่จัดแสดงวัตถุที่พบจากการขุดค้นด้วย
* โปรดตรวจสอบเว็บไซต์อย่างเป็นทางการสำหรับข้อมูลล่าสุด
* โปรดตรวจสอบเว็บไซต์อย่างเป็นทางการสำหรับข้อมูลล่าสุด
ถนนโจเซ็นจิ
ถนนที่เรียงรายไปด้วยต้นเซลโควาที่ให้ความรู้สึกเหมือน ``โมริ โนะ มิยาโกะ'' การประกวดแสงสีจะจัดขึ้นในฤดูหนาว
สถานีเซนได/สนามบินเซนได
จุดหมายปลายทาง